การตัดสินใจลงจากตำแหน่ง ทีมเชฟ ของ โยฮาคิม เลิฟ ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจมากนัก แม้ว่าจะแปลกใจในเรื่องของช่วงเวลาในการประกาศ “การอำลาล่วงหน้า” ของนายใหญ่วัย 61 ปี อยู่บ้าง เพราะมันเหลือเวลาอีกเพียง 3 เดือนเท่านั้น ยูโร 2020 ในเวอร์ชันปี 2021 จะลงแข่งขันกันในไม่ช้านี้แล้ว
“อินทรีเหล็ก” ภายใต้การคุมทีมของ เลิฟ เริ่มต้นในปี 2006 หลังจบฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในแผ่นดินเยอรมัน แต่ถ้ามองกันตามอายุงาน เขาอยู่กับทีมชาติเยอรมัน มาตั้งแต่ปี 2004 ในฐานะของผู้ช่วย เยอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ ในทีมชาติเยอรมัน เท่ากับว่าเขาอยู่กับทีมมานานถึง 17 ปีแล้ว โดยในฐานะของนายใหญ่ เลิฟ คุมทีมมาแล้วถึง 188 เกม เป็นผู้จัดการทีมชาติเยอรมัน ที่คุมทีมยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
ว่ากันตามผลงานในระดับทัวร์นาเมนต์ใหญ่ (ฟุตบอลยูโร และฟุตบอลโลก) เขาผ่านงานมาทั้งหมด 6 ทัวร์นาเมนต์ ทุกรอบจบลงด้วยการเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เป็นอย่างน้อย ยกเว้นในปี 2018 ที่พลาดท่าตกรอบแรกฟุตบอลโลก และแน่นอนที่สุดในปี 2014 เขาพาทีมไปถึงฝั่งฝันกับ “แชมป์โลก” สมัยที่ 4 ของเยอรมัน
แต่นับจากการตกรอบแรก ฟุตบอลโลก 2018 เป็นต้นมา เยอรมัน ของ เลิฟ ก็ผลงานไม่สู้ดีนัก มีการเปลี่ยนแปลงทีมเยอะมาก จนกระทั่งในเกมล่าสุด ที่พวกเขาพ่าย สเปน แบบหมดรูป 6-0 เป็นเหมือนกับ แผลที่เน่ามาสักระยะหนึ่งแล้ว ก็ถึงเวลาปริแตกออกมา ช่วงนั้นมีข่าวว่า เลิฟ จะหลุดออกจากเก้าอี้เลยด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ยังคงได้ทำงานต่อ จนกระทั่งมาประกาศอำลาทีม
ตามรายงานจากสื่อเยอรมัน มีการระบุว่า เลิฟ มีความคิดที่จะวางมือจากงานนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว กอปรกับ ฟริทซ์ เคลเลอร์ ประธานสมาคมฟุตบอลเยอรมัน ก็มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน แม้ว่า เลิฟ จะมีสัญญากับทีมจนกระทั่งถึงกลางปี 2022 หรือก็คือหลังจบฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศ กาตาร์ นั่นเอง แต่สุดท้ายก็เลือกลงจากตำแหน่งในกลางปีนี้ และการตัดสินใจนี้เป็นการตัดสินใจของ เลิฟ ซึ่งผ่านการเห็นชอบจากสมาคมฟุตบอลเยอรมัน ที่ก็อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในทีมชาติเยอรมัน อีกครั้ง
“เรามีความเคารพในการตัดสินใจของ โยฮาคิม เลิฟ เขาคือหนึ่งในโค้ชที่เก่งที่สุดในโลก” ฟริทซ์ เคลเลอร์ กล่าวในส่วนหนึ่งของแถลงการณ์จาก เดเอฟเบ
การประกาศอำลาทีมของ เลิฟ จะส่งผลในวงกว้างพอสมควร เกี่ยวกับในเรื่องของ ตัวแทน ของเขาในอนาคต ซึ่ง เดเอฟเบ ต้องประเมินสถานการณ์ และหาบุคลากรที่เหมาะสม และพร้อมเข้ามารับงานของเขาต่อทันที ซึ่งตามกำหนดก็คือ อย่างช้าที่สุดในช่วงกลางเดือน กรกฎาคม นี้ นายใหญ่คนใหม่ต้องเข้ามารับช่วงต่องานกันแล้ว แต่การแต่งตั้งก่อนหน้านั้น เพื่อให้มีการเตรียมทีมกันล่วงหน้า ก่อนเข้ามารับงานจริง และแน่นอนว่า จะเป็น โค้ชชาวเยอรมัน ค่อนข้างแน่นอน เพราะคงไม่มีใครจะเข้าใจ ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมองค์กร ได้ดีเท่ากับคนชาติเดียวกัน และ โค้ชชาวเยอรมัน ก็มีหลายต่อหลายคน ที่มีความสามารถที่น่าสนใจ และพิสูจน์ตนเองมาแล้วในระดับสโมสร
แน่นอนหลายคนคิดถึง เยอร์เก้น คล็อปป์ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ก็เป็นทางเลือกที่ยากที่สุดคนหนึ่ง ในการเข้ามารับงานนี้เช่นกัน เมื่อนายใหญ่ของ ลิเวอร์พูล ยังคงมีความสุข และทำงานหนักกับ ลิเวอร์พูล ต่อไป แม้ว่าจะพาทีมประสบความสำเร็จมาแล้วทั้ง พรีเมียร์ ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แล้วก็ตาม กับอายุงานของเขากับทีมที่เข้าสู่ปีที่ 6 ภายใต้ชายคาแอนฟิลด์ ก็ตาม และเขาก็ยืนยันด้วยตนเองแล้วว่า เขามีความปรารถนาในการรับงานคุมบังเหียน “อินทรีเหล็ก” ในสักวันหนึ่ง แต่ไม่ใช่วันนี้
“แม้ว่าต่อให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล จะประกาศปลดผมออกจากตำแหน่ง ผมก็จะใช้เวลาพักผ่อนกับตัวเองสักหนึ่งปี ผมจะไม่ทำงานอะไรทั้งสิ้น” คล็อปป์ กล่าวเกี่ยวกับเรื่องโอกาสในการรับงานต่อจาก เลิฟ ก่อนเกมพบกับ อาร์เบ ไลป์ซิค ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
อีกหนึ่งคนที่หลายคนเชียร์อย่าง ฮันซี่ ฟลิค ก็เป็นทางเลือกที่ เดเอฟเบ มองหาเช่นกัน ฟลิค ไม่ใช่คนอื่นคนไกลของ เดเอฟเบ เขาทำงานกับทีมชาติมาหลายปี และแน่นอนกับทีมชาติเยอรมันในฐานะของ ผู้ช่วย โยฮาคิม เลิฟ ก็ทำงานร่วมกันนานถึง 8 ปี ก่อนจะออกจากทีมชาติ หลังมีส่วนในการพาเยอรมัน คว้าแชมป์โลก ได้สำเร็จ และตอนนี้เขากำลังเป็นนายใหญ่แบบเต็มตัว กับ บาเยิร์น มิวนิค ที่เขาเพิ่งพิสูจน์ผลงานกับการคว้า 6 แชมป์ ในปีเดียว ปัญหาคือ บาเยิร์น พร้อมปล่อย และ ฟลิค พร้อมกลับไป หรือไม่ แม้ว่าการกลับไปครั้งนี้เขาจะกลายเป็น นายใหญ่ ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม นอกจากสองคนนี้แล้ว เยอรมัน ยังมีทางเลือกอีกหลายคนที่น่าสนใจ ยูเลี่ยน นาเกลสมันน์ ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง กับผลงานที่ทำทั้ง ฮอฟเฟ่นไฮม์ และ อาร์เบ ไลป์ซิค ก็น่าสนใจ เป็นทางเลือกสำหรับผู้จัดการทีมวัยหนุ่ม ที่จะมาพร้อมกับแนวคิดแบบคนรุ่นใหม่ ที่จะแตกต่างจากในยุคของ เลิฟ ค่อนข้างชัดเจน ปัญหาเดียวของเขาคือเรื่องของ ประสบการณ์ คุมทีมที่ค่อนข้างน้อย แต่ที่ผ่านมา นาเกลสมันน์ ก็สู้กับเสียงวิจารณ์เรื่องอายุของเขา มาตลอดอยู่แล้ว ว่า “เด็กเกินไปกับงานคุมทีม” แต่ผลงานที่ออกมาก็ตอบได้ว่า “แก่พอจะคุมทีม” ได้เช่นเดียวกัน
ราล์ฟ ฮุสเซินฮัทเทิ่ล เป็นอีกคนที่มีข่าว นายใหญ่ของ เซาธ์แธมป์ตัน มีประสบการณ์มากพอสมควร แม้จะเป็นประสบการณ์ในลีกล่างพอสมควร แต่ทางเลือกนี้ ก็จะคล้ายกับ เลิฟ ตรงที่ว่า เลิฟ ก็ไม่ได้คุมทีมใหญ่อะไรมากมาย ก่อนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติเยอรมัน และก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การคุมทีมระดับสโมสร กับการคุมทีมชาติ ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย
ราล์ฟ รังนิค เป็นอีกคนที่น่าสนใจ และมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด รังนิค วัย 62 ปี ได้ชื่อว่าเป็น ยอดโค้ช ยอดนักบริหาร และยอดนักพัฒนา ในคนเดียวกัน ประสบการณ์ในการคุมทีมของเขามีมากกว่า 30 ปี แต่ที่มากกว่านั้นคือเรื่องการพัฒนาบุคลากรในวงการฟุตบอล ที่เคยทำงานร่วมกับเขามากมาย ปัจจุบัน ซึมซับการทำงานของเขาและการนำไปปรับใช้งานต่อ ยูเลี่ยน นาเกลสมันน์ คือหนึ่งในนั้น เช่นเดียวกับ โธมัส ทูเคิ่ล นายใหญ่ของเชลซี ที่เคยทำงานกับเขาสมัยเป็นโค้ชทีมเยาวชนของสโมสร สตุ๊ทการ์ท ตอนนี้เขารับงานเป็นผู้บริหารของ เร้ดบูลล์ ฟุตบอล กรุ๊ป ในการพัฒนาเครือข่ายในเรื่องของฟุตบอล และจากรายชื่อที่กล่าวมา รังนิค มีความน่าสนใจ และเป็นไปได้ที่สุด แต่ทุกอย่างก็ขึ้นกับ เดเอฟเบ จะเดินเรื่องอย่างไรในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ส่วน เลิฟ ณ.เวลานี้ การตัดสินใจของเขา กลายเป็นการปลดปล่อยภาระ ความรับผิดชอบที่หนักนามาตลอด 17 ปีในการทำงานกับทีมชาติเรียบร้อยแล้ว เป้าหมายต่อจากนี้ คือ การพา “อินทรีเหล็ก” สยายปีก เป็นครั้งสุดท้ายกลางปีนี้ ซึ่งไม่ว่าผลงานจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ “การพักผ่อน” ก็กำลังรอคอยเขาอยู่ที่ปลายทางเรียบร้อยแล้ว