เลอันโดร ทรอตซาร์ (28 ปี สัญญาถึงกลางปี 2023) ปีกทีมชาติเบลเยี่ยม แสดงความชัดเจนในการต้องการอำลา ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน สโมสรที่นับถึงวันนี้เขาอยู่กับสโมสรแห่งนี้ยาวนานที่สุดในชีวิตการค้าแข้ง
ทรอตซาร์ ย้ายมาเล่นกับ ไบร์ทตัน ในปี 2019 ด้วยค่าตัวประมาณ 15 ล้านยูโร เป็นการย้ายทีมนอกประเทศเบลเยี่ยมครั้งแรกของเจ้าตัว และเป็นสโมสรที่ทำให้เขาแจ้งเกิดได้แบบเต็มตัวในเวลาต่อมา ทั้งในพรีเมียร์ ลีก รวมถึงการก้าวไปสู่ทีมชาติเบลเยี่ยมชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 2020 และเขาผ่านฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 2022 มาแล้วในปลายปีที่แล้ว
3 ปีที่ผ่านมาเขาเป็นตัวหลักของทีมมาโดยตลอดมีส่วนมากกว่า 30 เกมต่อฤดูกาลในฐานะตัวหลัก และมาในฤดูกาลนี้ ก็มีส่วนถึง 17 เกมในทุกรายการ แต่สิ่งที่ต่างออกไปชัดเจนคือ “สถานะ” ของเขาในทีมและมันเพิ่งจะเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
“นกนางนวล” ในยุคของ เกรแฮม พอตเตอร์ เป็นหนึ่งในสโมสรที่ได้รับเสียงชื่นชมถึงผลงานที่ยอดเยี่ยม และเป็นทีมที่สตาร์น้อยแต่ผลงานมากด้วยความสวยงามประสิทธิภาพ พวกเขาลงทุนกับนักเตะไม่แพงแต่ได้ผลงานที่ดีมาหลายปี ทรอตซาร์ ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาคือนักเตะกลุ่มแรกที่พอตเตอร์ ดึงตัวมาร่วมงานด้วยในตลาดการซื้อขายแรกของเขากับทีม อย่างไรก็ตามผลงานที่ดีเหล่านั้น ทำให้ พอตเตอร์ ได้รับโอกาสครั้งใหญ่ในการคุมทีมเชลซี ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่กับทีมได้นานแค่ไหน หลังจากผลงานไม่สวยเอาเสียเลย
การเข้ามาของ โรเบร์โต้ เดอ แชร์บี้ โค้ชชาวอิตาเลียนคนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อการเข้ามาของโค้ชใหม่ที่ยังคงให้ความเชื่อมั่นกับนักเตะในช่วงแรกของการคุมทีม เริ่มมีความไม่พอใจในเรื่องของทัศนคติการเล่นของนักเตะคนนี้ และนับจากวันที่กลับมาจากฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ไบร์ทตัน ลงเล่นไปแล้ว 5 เกมในทุกรายการ ทรอตซาร์ มีส่วนร่วม 4 เกมด้วยกัน แบ่งออกเป็น 2 ตัวจริง 2 ตัวสำรอง (ลงเล่น 1 ไม่ได้ลงเล่น 1) และ 1 เกมที่ไม่มีชื่อเลยในทีม ซึ่งก่อนหน้านี้ เดอ แซร์บี้ ก็ออกมากล่าวถึงเหตุในเรื่องนี้ในช่วงเกมเอฟเอ คัพรอบสามเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่ง ทรอตซาร์ ไม่มีชื่อในทีมลงเล่นในเกมนั้น
“ผมไม่รู้ว่าอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไร แต่ผมคิดว่าเขาคือหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดสำหรับเรา เป็นคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของทีม ผมชอบเสมอที่จะส่งเขาลงเล่นเป็น 11 คนแรกของทีม แต่มันไม่ได้ขึ้นกับตัวผมเท่านั้น มันต้องขึ้นกับตัวของเขาด้วยเช่นกัน ไม่รู้สิ สำหรับผม ผมต้องการผู้เล่นที่ลงเล่นเพื่อทีมในสนาม และเขาก็รู้ดีถึงความคิดในการทำงานของเขา ผมพูดกับเขาในเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งแล้ว”
“ผมชอบเขาในฐานะผู้เล่น แต่ผมต้องการมากกว่านี้จากเขา เพราะเขาสามารถเล่นดีกว่านี้ได้ ทำงานหนักกว่านี้ได้ วิ่งเยอะมากกว่านี้ได้ ผมต้องการคนที่ 100 % ในทุกการซ้อม และทุกเกมการแข่งขันของทีม ถ้านักเตะคนไหนไม่มีคาแรคเตอร์แบบนี้พวกเขาไม่ได้เล่นในทีมของผม”
และล่าสุด เดอ แซร์บี้ ระบชัดเจนว่า ทรอตซาร์ จะไม่มีชื่อในเกมเปิดบ้านพบกับ ลิเวอร์พูล อีกหนึ่งเกม และนั่นกลายเป็นจุดแตกหักของเรื่องราว
“เขาออกจากช่วงการซ้อมโดยไม่ได้มีการบอกอะไรผมสักอย่าง และมันไม่ใช่เรื่องที่ดี ผมเคยคุยกับเขาไปแล้ว และผมอธิบายเกี่ยวกับทัศนคติ พฤติกรรม ที่ผมไม่ชอบให้เขารับทราบแล้ว” เดอ แซร์บี้ กล่าวในแถลงข่าวก่อนเกมกับลิเวอร์พูล
ซึ่งหลังการแถลงข่าวนี้ออกไปไม่นานนัก เอเยนต์ของนักเตะ โจซี่ คอมแฮร์ ก็ได้มีการแถลงออกมาเกี่ยวกับเรื่องราวโดยระบุว่าเรื่องของอายุสัญญาเป็นสิ่งที่ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป พร้อมกับอีกด้านหนึ่งของเรื่องราวที่คนละเรื่องกับสิ่งที่โค้ชบอกกับสื่อ
“ก่อนที่เลอันโดรจะออกจากทีมเดินทางไปกาตาร์ (เข้าร่วมทีมชาติเบลเยี่ยมลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย) ไบร์ทตันมีความต้องการอยากจะเซ็นสัญญาใหม่กับเขา แต่มันไม่เกิดขึ้น ไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ เลอันโดร มีความต้องการที่จะก้าวต่อไปในเส้นทางอาชีพ”
“หลังกลับมาจากฟุตบอลโลก ได้มีการทะเลาะกันระหว่างเลอันโดร และผู้เล่นคนหนึ่งในทีมระหว่างการซ้อม ซึ่งมันเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นผู้จัดการทีมก็ไม่คุยเขากับเขาอีกเลย มันก็ชัดเจนแล้วว่ามันเป็นบรรยากาศที่เลวร้าย และมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับผลงานของเขา”
“เขาลงเล่นตัวจริงในเกมพบกับ เซาธ์แธมป์ตัน และ อาร์เซนอล ก่อนหน้านี้ แต่พอมาถึงเกมกับเอฟเวอร์ตัน เขาตกเป็นตัวสำรอง และไม่ถูกเปลี่ยนตัวลงสนามในเกมนั้น โดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ ในเรื่องนี้ พอมาถึงเกมกับ มิดเดิ้ลสโบรซ์ ในเอฟเอ คัพ นักเตะบอกกับทีมแล้วว่าเขามีปัญหาบาดเจ็บที่น่อง นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาหยุดการซ้อม เพื่อไปปรึกษาอาการบาดเจ็บกับทีมแพทย์ของสโมสร ต่อมาผู้จัดการทีมก็บอกกับเขาว่า ต้องแยกซ้อม และบอกกับเลอันโดรต่อหน้าคนในทีมว่าเขาไม่ต้องการเห็นเขาอีก”
“กับผู้จัดการทีมซึ่งไม่มีการสื่อสารพูดคุยกับนักเตะโดยตรงมาเป็นเวลา 4 สัปดาห์ มันเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจได้ และยังเป็นผู้จัดการคนเดิมที่พูดว่าการย้ายทีมเป็นทางอออกที่ดีที่สุด ดังนั้นมันคงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับไบร์ทตัน จะร่วมมือกับนักเตะในเรื่องการซื้อขายเพื่อให้เป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์สำหรับทั้งสองฝ่าย”
เป็นบทสัมภาษณ์ของทั้งสองฝ่ายที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน และถึงตรงนี้ไม่มีใครรู้ว่า “ความจริงคืออะไร” นอกจากทั้งสองฝ่ายเท่านั้นในการรู้แก่ใจในเรื่องราว เพราะถึงตรงนี้ต้องมีความจริง และไม่จริงในเรื่องราว แต่ที่เห็นได้ชัดคือ “การสื่อสารภายในองค์กร” ของพวกเขามีปัญหาอย่างแน่นอน ที่ทำให้สุดท้ายแล้วเรื่องราวถึงล่วงเลยมาถึงตรงนี้
หากสโมสรคือองค์กร ผู้จัดการทีม / โค้ช คือหัวหน้างาน นักเตะก็คือพนักงานคนหนึ่งในองค์กร จะในระดับไหนก็ตาม การทำงานระหว่าง โค้ช – นักเตะ ต่างมีผลต่อกันและกันในทั้งแง่ดีและร้ายได้เสมอ ในสถานการณ์ระหว่าง เดอ แซร์บี้ และทรอตซาร์ ชัดเจนว่ามีปัญหาความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้นแล้ว และปัญหาดังกล่าว กลับไม่สามารถทำให้เรื่องจบเป็นการภายในได้ และทำให้เรื่องนี้มีแต่ “เสียกับเสีย” สำหรับทั้งสองฝ่าย
ในมุมมองของไบร์ทตัน และ เดอ แซร์บี้ แน่นอน พวกเขาอยู่ในฐานะของนายจ้าง / หัวหน้างาน พวกเขาต้องการประโยชน์สูงสุดจากผู้เล่น “สัญญาใหม่” ของผู้เล่นเป็นสิ่งที่พวกเขาถูกกล่าวอ้างถึงจากเอเยนต์นักเตะ อย่างไรก็ตามในข้อมูลมีการระบุชัดเจนว่า ทรอตซาร์ มีสัญญาถึงกลางปี 2023 แต่ว่า ไบร์ทตัน มีเงื่อนไขในการขยายสัญญาเพิ่มได้อีก 1 ปี ซึ่งตรงนี้เป็นข้อตกลงร่วมกันนับตั้งแต่การเซ็นสัญญา เหมือนในเคสของมาร์คัส แรชฟอร์ด (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) หรือ วิลเลี่ยม ซาลิบา (อาร์เซนอล) ซึ่งก็มีสัญญาในลักษณะนี้ เป็นต้น ดังนั้นการเจรจาสัญญาใหม่ของไบร์ทตัน จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เพื่อการเก็บนักเตะและการรักษามูลค่าของผู้เล่นต่อไป
ในมุมของผู้เล่น มีความเป็นไปได้สูงมากว่า ทรอตซาร์ ต้องการย้ายออกจากทีม ผลงานของเขาโดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุงานที่มากขึ้นในทีม สังเกตได้จากที่ง่ายที่สุดคือชื่อของ ทรอตซาร์ เริ่มถูกพูดถึงในวงกว้างมากขึ้นในกลุ่มแฟนบอล รวมถึงข่าวกับทาง นิวคาสเซิ่ล, สเปอร์ส หรือว่า เชลซี ที่มี เกรแฮม พอตเตอร์ นายเก่าของเขาทำงานอยู่ ก็ยิ่งโหมกระแสให้มากขึ้น บนวัย 28 ปี อายุสัญญาที่กำลังจะหมดลง การกอบโกยรายได้ (ทั้งในมุมของนักเตะ – เอเยนต์) ไปจนถึงโอกาสในการคว้าความสำเร็จระดับสูง ทุกอย่างเย้ายวนให้ ทรอตซาร์ มองทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการต่อสัญญา ซึ่งก็ไม่ต่างจากกรณีของ วิลฟรีด ซาฮา ของคริสตัล พาเลซ ซึ่งก็อยู่ในสถานะเดียวกัน เพียงแต่ ซาฮา สัญญากำลังจะหมดลงแล้วในกลางปีนี้ ไม่มีออฟชั่นใด ๆ เพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามปัญหาของ เดอ แซร์บี้ กับ นักเตะ ตามข่าวที่ออกมาเป็นเหมือนปฏิกิริยาเร่งในการตัดสินใจให้มากขึ้นว่าสุดท้ายแล้วจะจบกันอย่างไร ซึ่งถึงตรงนี้ ไบร์ทตัน ถือความได้เปรียบเพียงแค่สัญญาที่เหลืออยู่ไม่มากนัก ส่วนนักเตะก็ยังคงมี “มูลค่าทางการตลาด” ที่พอสมควร หากมีการย้ายทีมเกิดขึ้น
สุดท้ายแล้ว “คนไม่มีใจ” รั้งไปก็เท่านั้น เมื่อวันนี้สโมสรต้องเจอกับข้อต่อรอง และเงื่อนไขมากมายจากเอเยนต์ของนักเตะ ที่พร้อมจะวิ่งหาทีมใหม่ได้เสมอ ถ้านักเตะของตนเองมีความสามารถดีพอ และนี่จะเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่จะเกิดขึ้นในอีกหลายร้อยเคสในอนาคต หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจในการต่อรองในเรื่องของการทำงาน ยิ่งมีข่าวแบบนี้ออกมา ไบร์ทตัน คือฝ่ายที่จะเสียเปรียบมากกว่า เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ยังคงต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ แม้จะมีการแยกนักเตะลงซ้อมเดี่ยว หรือบรรยากาศภายในทีมจะย่ำแย่แค่ไหน แต่ก็ต้องทำตามหน้าที่ และสิ่งที่ระบุไว้ในสัญญา เพราะนั่นคือสิ่งที่ “มืออาชีพ” ทำกัน เช่นเดียวกับ ทรอตซาร์ ที่ยังคงต้องซ้อมต่อไปตามหน้าที่ของตนเอง รอให้ถึงวันที่จะเป็นอิสระต่อกันไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม นั่นคือความรับผิดชอบที่พึงมีต่อกันและกัน
หากไร้ซึ่งความรับผิดชอบ…การทำงานก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จ ยังคงเป็นความจริงที่ใช้ได้ในทุกวงการ