อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่องกับการพัฒนาเยาวชน มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 70 ก่อนที่จะกลายเป็นหนึ่งใน สโมสรที่มีระบบ นักเตะ เยาวชนที่ดีที่สุดในโลก โดยพวกเขาลงทุนพัฒนา นักเตะ เยาวขนผ่านศูนย์ฝึกเยาวชนที่ชื่อว่า “เดอ ตูรกอร์ม” หรือ “ความฝัน” ซึ่งมีการพัฒนา นักเตะ ตั้งแต่อายุเพียง 5 ปี จนถึงในระดับทีมเยาวชน อายุต่ำกว่า 23 ปี ซึ่งเป็นชุดสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรต่อไป
อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณภาพมาตรฐานของ เอเรเดวิซี ลีก ซึ่งเป็นลีกที่ไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากนัก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม และ ลีกดัตซ์ จึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นเหมือน จุดเริ่มต้น ในการพัฒนาความสามารถของดาวรุ่ง พร้อมกับมีเวทีในการเปิดโอกาสให้ นักเตะ ที่มีความสามารถได้พิสูจน์ตนเอง ตั้งแต่อายุยังน้อย
ไรอัน กราเวนเบิร์ช กองกลางดาวรุ่งเนเธอร์แลนด์ คือหนึ่งใน นักเตะ ดาวรุ่งยุคใหม่ของสโมสร ที่ประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่ ด้วยวัยเพียง 16 ปี 130 วัน กลายเป็น นักเตะที่อายุน้อยที่สุดของสโมสรที่ลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ ขณะที่ เซร์จิโน เดสท์ แบ็คขวาดาวรุ่งทีมชาติสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งย้ายไป บาร์เซโลน่า ก็อยู่กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ด้วยวัยเพียง 12 ปี ก่อนอีก 6 ปีต่อมา จะประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่
ในฤดูกาล 2018-2019 อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม สร้างผลงานสุดยอดด้วย นักเตะ เยาวชนที่พวกเขาพัฒนาขึ้นเป็นแกนหลัก เข้าถึงรอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างน่าชื่นชม แต่ผลงานที่เด่นชัด ก็แลกมาด้วยการได้รับข้อเสนอด้วยจำนวนเงินมหาศาลจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ ในการดึง นักเตะ ของพวกเขาออกจากทีมไป
เฟรนกี้ เดอ ยองก์ และ มัทธิอัส เดอ ลิคส์ ย้ายไปร่วมงานกับ บาร์เซโลน่า และ ยูเวนตุส ตามลำดับด้วยค่าตัวรวมกันมากกว่า 75 ล้านปอนด์ ขณะที่ฤดูกาลล่าสุด ดอนนี่ ฟาน เดอ บีค กลายเป็น นักเตะ ค่าตัว 35 ล้านปอนด์ สู่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ในทางกลับกัน อาแจ็กซ์ เพิ่มเติมความแข็งแกร่ง นอกจากระบบเยาวชนของพวกเขาแล้ว พวกเขายังนำเงินจำนวนไม่น้อยลงทุน กับ นักเตะ ดาวรุ่ง ที่น่าสนใจในหลายทวีป โดยเฉพาะในตลาด นักเตะ อเมริกาใต้ รวมถึงในแอฟริกา ซึ่งพวกเขาประสบความสำเร็จมาแล้วหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ดาวิด เนเรส และ แอนโทนี่ สองดาวรุ่งตัวรุกบราซิเลี่ยน ซึ่งรายแรกก้าวเข้าสู่ทีมชาติบราซิลชุดใหญ่แล้ว เป็นต้น
พวกเขามีการ “ส่งไม้ต่อ” จากรุ่นสู่รุ่นอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่นในช่วงปี 2010 อาแจ็กซ์ มีการพัฒนา เซียม เดอ ยองก์ ขึ้นมาเป็นกองกลางตัวหลักของทีม เซียม ก้าวไปสู่ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ชุดใหญ่ และต่อมาเขาย้ายออกจากทีมไปร่วมงานกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ขณะที่ อาแจ็กซ์ เลือกดันเด็กหนุ่มที่ชื่อว่า ดาวี่ คลาสเซ่น ขึ้นมาแทนที่ และเขากลายเป็นตัวหลักของทีมมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งปี 2017 เขาย้ายออกจากทีมไป และก็ถึงเวลาของ ดอนนี่ ฟาน เดอ บีค ขึ้นมาแทนที่ และในฤดูกาลนี้ ไรอัน กราเวนเบิร์ช ก็ขึ้นมารับช่วงต่อจาก ฟาน เดอ บีค ควบคู่กับการซื้อ นักเตะ เข้ามาเสริมในบางตำแหน่ง อย่างเช่น ควินซี่ โพรเมส หรือ ดูซาน ทาดิช ที่กลายเป็นตัวหลักในแนวรุกของทีมในช่วง 3 ปี หลังสุด
“ผมอยากบอกพวกคุณแบบเจาะลึก ว่าเราทำอะไรกันบ้างในเรื่องนี้ แต่น่าเสียดายว่านี่คือ ความลับ ในการทำงานของเรา ผมจะบอกแค่ในภาพรวมของเราได้เท่านั้น เรามีการลงทุนทั้งในเรื่องของ เงินทุน และ เวลา เป็นอย่างมากในการพัฒนาทีมเยาวชนของพวกเราให้เกิดขึ้น อะคาเดมี่ของเราใช้งบประมาณ 11 ล้านปอนด์ต่อปี ซึ่งเยาวชนของทีม ไม่ใช่จะได้รับแค่เรื่องของฟุตบอลเท่านั้น แต่มันคือเรื่องของการเข้าโรงเรียน เพื่อรับการศึกษาควบคู่กันไป คุณไม่สามารถที่จะปล่อยให้ นักเตะ ดาวรุ่ง สนใจเพียงด้านเดียว โดไม่สนใจการเรียนรู้การใช้ชีวิต และความรู้ทั่วไปได้หรอก ภายในระบบเยาวชนของเรา จะมีเวทีในเรื่องของการแสดงผลงานของพวกเขาด้วย ทั้งหมดมันต้องควบคู่ไปด้วยกัน ทั้งการเรียน ฟุตบอล และความสนุกในการเป็นเด็ก แต่เราต้องให้ทั้งหมดอยู่ในการดูแลของเรา”
“ด้วยปรัชญาของเรา มันแสดงผลลัพธ์ของมันออกมาแล้วด้วยการที่เราเคยคว้า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้ว ผ่านระบบเยาวชนของพวกเขา พวกเราพัฒนา นักเตะในทีม เก็บพวกเขาไว้กับทีมชุดใหญ่ ลงเล่นเรียนรู้ คว้าความสำเร็จสัก 3-4 ปี และก้าวสู่ทีมชาติชุดใหญ่ของแต่ละคน เมื่อถึงจุดหนึ่ง เอเรเดวิซี ลีก ของเราไม่ใหญ่พอสำหรับพวกเขา แน่นอนการย้ายทีมก็จะต้องเกิดขึ้น และเราก็จะปล่อยพวกเขาไป โดยที่ต้องมาพร้อมกับข้อเสนอที่น่าพอใจ และ นักเตะ ของเราต้องการย้ายไปร่วมงานกับสโมสรเหล่านั้นด้วย”
“เรารู้ และเข้าใจถึงความต้องการของเหล่า นักเตะ ภายในทีมของเรา บางคนดีพอจะได้ย้ายไปยังสโมสร บางคนไม่ได้ย้ายไป สำหรับเรานั่นคือต้องมีบางสิ่งที่ผิดพลาดแล้ว เพราะเราเชื่อว่า นักเตะ ของเราทุกคนได้รับการพัฒนาที่ดีที่สุดจากเรา”
“มันอาจฟังดูแปลกไปเสียหน่อย แต่เราอยากบอกว่าเรามีความภูมิใจกับ นักเตะ ทุกคนทีได้ย้ายไปร่วมสโมสรใหญ่อย่าง บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือว่า เชลซี เป็นต้น แน่นอน เราอยากเก็บตัว นักเตะ ทีดี่ที่สุดของเราไว้กับทีม แต่ในทางกลับกัน เราก็เข้าใจในพวกเขาเช่นกัน หากคุณอยู่กับทีม พาทีมได้แชมป์ ลงเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมในลีกนี้ มันก็ต้องมีการคิดถึงก้าวต่อไปของตนเอง มันคือความท้าทายใหม่ ในฐานะของ นักเตะ อาชีพ และเราหวังว่าสักวันหนึ่ง เมื่อพวกเขาออกเดินทางอย่างเต็มที่แล้ว เขาจะกลับมาหาเรา อาจกลับมาลงเล่นด้วยกันอีกสัก 1-2 ปี เพื่อเป็นแรงบันดาลใจต่อไปให้กับ เด็กรุ่นใหม่ หรือว่าจะกลับมาทำงานเป็นโค้ชของทีมเหมือนที่ อดีตนักเตะของพวกเรา หลายต่อหลายคนก้าวมาถึงจุดนี้มาแล้วทั้งสิ้น รวมถึงในสายงานบริหารอย่างที่ มาร์ค โอเวอร์มาร์ส หรือว่าตัวของผมทำงานในส่วนนี้อยู่ก็เป็นเรื่องดีที่น่ายินดีเช่นกัน”
ปัจจุบัน สโมสร มีอดีต นักเตะ มากถึง 9 คน ทำงานอยู่ในสายงานบริหาร หรือในงานด้านโค้ช ประกอบไปด้วย เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์, มาร์ค โอเวอร์มาร์ส, แดนนี่ บลินด์, มิเชล ไรซีเกอร์, วินสตัน โบการ์เด้, ริชาร์ด วิทช์เก้, จอห์น ไฮติงก้า, คริสเตียน โพลเซ่น และ อารอน วินเตอร์ และนี่คือ วิถีของพวกเขา…อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม