อารอน แรมสเดล (23 ปี สัญญาถึงกลางปี 2024) กำลังจะกลายเป็น นักเตะ ใหม่ของ อาร์เซนอล ในอีกไม่ช้านี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาดไปจากนี้ หลังการรายงานจากสื่ออังกฤษ ยืนยันตรงกัน อาร์เซนอล ใกล้สามารถปิดการเจรจากับ “เดอะ เบลด” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ได้แล้ว
อาร์เซนอล มีข่าวว่าต้องการนักเตะอังกฤษสำหรับโควตา Home Grown Player เข้ามาเสริมทีม โดยอ้างอิงจากสัมภาษณ์ของ แมตต์ ไรอัน นายทวารออสเตรเลีย ที่ถูกยืมมาในปีที่แล้วว่า เขาได้รับคำตอบนี้มาจากทีมงานของสโมสรปืนใหญ่ และนั่นคือเหตุที่ทำให้ อาร์เซนอล ไม่เซ็นสัญญาถาวรกับไรอัน
24 ล้านปอนด์ + Add-on อีก 6 ล้านปอนด์ รวม 30 ล้านปอนด์ คือตัวเลขที่ สื่อระบุออกมาว่า อาร์เซนอล พร้อมเทเงบลงมากับ นายทวารหนุ่ม ที่เกิดในเมือง สโต๊ค-ออน-เทรนด์ คนนี้ พร้อมกับหลายเสียงในโลกออนไลน์ที่แสดงความสงสัยในศักยภาพของเขา กับราคาที่ต้องจ่ายออกไปของ เดอะ กันเนอร์ส คือราคาที่จะส่งให้เขามีค่าตัวแพงที่สุดลำดับ 6 ของนายทวารโลกทันที
จาก “ความสงสัย” ในโลกออนไลน์ ยิ่งข่าวแรงมากขึ้นเท่าไร กลายเป็นการ “เย้ยหยันดูถูก” ซึ่งไม่เคยเป็นที่ต้องการของใคร แต่ผู้คนก็มักจะชอบ “พ่น” มันออกมาเหมือนงูพิษร้าย ทำลายความรู้สึกคนอื่น ยิ่งไม่รู้ตัวตนของตนเอง ยิ่งพร้อมจะกล้าเผยความรู้สึกด้านลบของตัวเองออกมา
“คนเรากล้ามากขึ้นเสมอ หากไม่เจอกับการเผชิญหน้าโดยตรง ทุกคนมีสิทธิ์สงสัย แต่ไม่มีสิทธิ์ดูถูกคนอื่น”
แรมสเดล กลายเป็นเหยื่ออีกรายที่ต้องเจอจากกลุ่มคนเหล่านั้น และเลือกตัดสินใจปิดช่องแสดงความเห็นใน อินสตาแกรมส่วนตัว หลังจากโดนทั้ง ขู่ฆ่า, เย้ยหยัน และหลายคนถึงขั้นลามปามไปถึงครอบครัว
“แกอย่าได้ย้ายมา อาร์เซนอล เชียวนะ กูพร้อมจะด่ามึงทุกวัน” หนึ่งในข้อความอุบาทว์จากคนในโลกออนไลน์ และนั่นคือสิ่งที่เขาต้องเจอแน่นอนในโลกความจริง และต้องเตรียมใจให้พร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ ทั้งแง่บวกหรือว่าลบ
แรมสเดล เติบโตมาจากทีมเยาวชนของทีม โบลตัน วันเดอเรอร์ส และพออายุ 15 ก็โดนปล่อยตัวออกมาก่อนที่จะเข้าสู่ทีม เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดในปี 2013 และใช้เวลาอีก 3 ปีก้าวมาขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ณ เวลานั้น เขาไม่ได้ลงเล่นเลยในทีมชุดใหญ่ ก่อนจะย้ายไปเล่นกับ บอร์นมัธ ตามด้วยการโดนปล่อยยืมออกไปอีกสองรอบ และสุดท้ายฤดูกาล 2019-2020 ก้าวมาเป็นมือหนึ่งของทีม
รอยด่างพร้อยทางอาชีพของ “แรมสเดล”
แม้จะขึ้นมาเป็นมือหนึ่งได้กับ บอร์นมัธ ในยุคของ เอ็ดดี้ ฮาว แต่ความโชคร้าย และความผิดพลาดของทีมมันก็มาเยือน พวกเขาตกชั้นในปีนั้นทันที แรมสเดล อายุเพียง 21 ปี เจอกับการตกชั้นครั้งแรก ปีนั้นเขาลงเล่นไปถึง 37 เกม ในลีก ก่อนที่จะย้ายมาเล่นกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดด้วยค่าตัวรวมเบ็ดเสร็จเกือบ 20 ล้านปอนด์ ซึ่งบอร์รมัธ กำไร 20 เท่าตัว เพราะซื้อมาแค่ 1 ล้านปอนด์ คืนทุนในสามปี เพื่อมาแทนที่ของ ดีน เฮนเดอร์สัน ที่ย้ายกลับไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
อีกเช่นกัน “เดอะ เบลด” เจอ 2nd Season Syndrome หรืออาการความล้มเหลวจากฤดูกาลที่สองของการขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุด พวกเขาตกชั้นในฐานทีมอันดับสุดท้ายชองลีก โดยที่ แรมสเดล ยืนครบ 38 เกมในลีก พร้อมคว้ารางวัล นักเตะ ยอดเยี่ยม และ นักเตะ ดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ สโมสรมาครองทั้งหมด ตามด้วยการก้าวเข้าสู่ทำเนียบทีมชาติอังกฤษในทัวร์นาเมนต์ Euro 2020
ดังนั้นไม่แปลกใจที่กราฟชีวิตของเขาจึงมีทั้งขึ้นและลง ในเวลาเดียวกัน และกลายเป็นเรื่องที่ถูกนำมาล้อเลียนกันในเรื่องการเป็น “นายทวารทีมตกชั้นสองฤดูกาลติดต่อกัน” เพราะนั่นคือ ภาพใหญ่ที่คนสังเกต และจดจำได้ง่ายที่สุด แต่ในทางกลับกัน ชีวิตในเส้นทางอาชีพของเขาถือว่าเติบโตขึ้นทั้งในแง่ความสำเร็จส่วนตัว และการยืนมือหนึ่งสองฤดูกาลเต็มในพรีเมียร์ ลีก
มาดูเรื่องของสถิติกันบ้าง ผมเลือกมาบางส่วนให้อ่านกัน และ “อย่าลืม” ว่าผลงานของนายทวารขึ้นกับ แนวรับของต้นสังกัดด้วย นายทวารทีมตกชั้น มักจะงานเยอะกว่าทีมระดับท๊อป แต่ในทางกลับกันมันก็บ่งบอกถึงความสามารถของนายทวารได้เช่นกัน จึงหยิบมาเทียบกันบางส่วน โดยเฉพาะเรื่องสำคัญทั้งการเซฟ และการตัดบอล ผ่านทางข้อมูลจากเว็บไซต์ของ พรีเมียร์ ลีก
ว่ากันตามศักยภาพของเขา ตลอด 75 เกมในพรีเมียร์ ลีก 2 ฤดูกาลที่ลงเล่น แรมสเดล เสียไปทั้งหมด 125 ประตู (63 ประตู และ 62 ประตู) และเซฟไปทั้งหมด 276 ครั้ง เฉลี่ย 3.68 ครั้งต่อเกม เรียกว่างานเข้าทุกเกม เพราะทีมที่เขาลงเล่นอยู่ผลงานไม่ดีทั้งคู่ในทั้งสองฤดูกาล โดยมีคลีนชีตเพียง 10 เกมเท่านั้นใน 75 เกม เท่ากับว่า 125 ประตูที่เสียไปเกิดขึ้นใน 65 เกม เมื่อมองสถิติลึกลงไปใน 75 เกม หากเกมในเขาเสียประตูจะมีถึง 50 เกมที่ทีมแพ้
นับเฉพาะฤดูกาล 2020-2021 แรมสเดล มีสถิติการเซฟมากที่สุดอันดับ 2 ในลีก รองจาก แซม จอห์นสตัน (28 ปี สัญญาถึงกลางปี 2022) ของเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน เพียงคนเดียว เช่นเดียวกับการออกมาตัดบอลจากด้านข้างมากที่สุดอันดับ 2 เป็นรองแค่ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ (28 ปี สัญญากลางปี 2024)
ซึ่งหากไปดูเฉพาะสถิติสองส่วนนี้ แบนด์ เลโน่ (29 ปี สัญญาถึงกลางปี 2023) มือหนึ่งของอาร์เซนอล ที่ลงเล่นไปเพียง 35 เกมในลีกปีที่แล้ว สถิติตรงนี้ จะเห็นได้เลยว่า แรมสเดล ทำได้เด่นกว่า ทั้งการเซฟ (147 ครั้ง ต่อ 38 เกม เฉลี่ยเกมละ 3.86 ต่อเกม) ส่วน เลโน่ (86 ครั้ง ต่อ 35 เกม เฉลี่ยเกมละ 2.45 ต่อเกม)
และการออกมาตัดบอลกลางอากาศ แรมสเดล (33 ครั้ง ต่อ 38 เกม เฉลี่ยเกมละ 0.86 ต่อเกม) ขณะที่เลโน่ (18 ครั้ง ต่อ 35 เกม เฉลี่ยเกมละ 0.51 ต่อเกม)
30 ล้านปอนด์ คือคำถามใหญ่สำหรับการซื้อ แรมสเดล ของ อาร์เซนอล เมื่อนายทวารมือหนึ่งของทีมอย่าง เลโน่ ซื้อมาร่วมงานกันในปี 2018 ค่าตัว 19 ล้านปอนด์ พร้อมดีกรีทีมชาติเยอรมันติดตัวมาด้วย ส่วน แรมสเดล ณ เวลานี้ ยังไม่เคยลงเล่นในทีมชาติชุดใหญ่แม้แต่เกมเดียว แม้จะถูกเรียกติดทีมชาติแล้วก็ตาม มันคือการลงทุนก้อนใหญ่สำหรับ อาร์เซนอล ที่ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันว่า พวกเขา ไม่ใช่ทีมที่มีเงินมากนัก และยังมีอีกหลายตำแหน่งที่ต้องการเสริมทีม แต่กำลังจะเสียเงินก้อนใหญ่เพื่อแลกกับนายทวารที่ถึงตรงนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะมาเป็น “ตัวจริง” หรือ “ตัวสำรอง” ซึ่งด้วยราคานี้ ยังไงก็ต้องตัวจริงเท่านั้น และนั่นคือการท้าทาย เลโน่ โดยตรง กับการโดนวิจารณ์ยับเยินในปีที่แล้ว รวมถึงเกมล่าสุดในจังหวะเสียประตูที่สองของเกมกับ เบรนท์ฟอร์ด
หากมองถึงการเล่นของ อาร์เซนอล การเปลี่ยนนายทวารของพวกเขา หากต้องการเปลี่ยน พวกเขาน่าจะมองถึง นายทวาร ที่เป็นผู้เซตเกมจากแนวรับด้วยบอลสั้น เป็นนายทวารที่ใช้เท้าได้เก่ง, อ่านจังหวะดีในการออกบอล รวมถึงการตัดสินใจว่าจังหวะไหนจะเล่นบอลสั้น หรือว่า บอลยาว ซึ่งอย่างน้อยต้องทำได้ดีกว่า เลโน่ ที่ผ่านมา ตรงนี้ต่างหากที่ แรมสเดล ต้อง “พิสูจน์” ว่าเขาทำได้ดีกว่าหรือไม่ เพราะงานอื่นอย่างการเซฟ หรือกว่าตัดบอล สถิติมันก็ชัดว่า เขาทำงานตรงนี้ได้โดดเด่นมากในสองปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เครื่องหมายคำถามของแรมสเดลคือ เขาเล่นได้ที่ต้องการหรือเปล่า เพราะกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมก็ไม่ได้เล่นในลักษณะนี้แบบชัดเจน และเขาก็ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องของการใช้เท้าเป็นหลักเสียด้วย
“ความคุ้มค่า” ของแรมสเดล ไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาค่าตัวเท่าไร แต่มันอยู่ที่ว่าเขาจะแสดง “ผลงาน” ได้ดีมากแค่ไหนต่างหาก และนั่นคือสิ่งที่เขาต้องพิสูจน์ พิสูจน์ว่า “คำเย้ยหยัน” เหล่านั้น มันจริงหรือไม่จริง เป็นอีกหนึ่งบททดสอบความสามารถ และจิตใจของเขาโดยตรง ถ้าทำได้ อารอน แรมสเดล จะกลายเป็น นายทวาร ชั้นนำของวงการได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่อนาคตของเขาก็อาจจะดับวูบลงได้เช่นกัน