ก่อนเกม “แดงเดือด” ที่กำลังจะกลับมาอีกครั้งในสุดสัปดาห์นี้ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ (29 ปี สัญญาถึงกลางปี 2023) กำลังอยู่ในช่วงที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตการเป็นนักเตะอาชีพ
“คิง ออฟ อียิปต์” ลงเล่นไป 11 เกม ในทุกรายการทำไปแล้ว 12 ประตู และนับตั้งแต่ 28 สิงหาคม ในเกมพบกับ เชลซี จนถึงเกมล่าสุดทุกเกมที่ ซาลาห์ ลงเล่นเขายิงได้ทุกเกม เป็นเกมที่ 9 ติดต่อกัน ทำไปถึง 11 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ยังไม่แพ้ใครเลยในฤดูกาลนี้ แม้แต่เกมเดียวในทุกรายการ
“เวลานี้ใครจะฟอร์มดีกว่า โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ อีกเหรอ มันเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมาโดยตลอด แจ่เราจะไม่มาพูดในสิ่งที่ ลิโอเนล เมสซี่ ทำไว้ หรือที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สร้างสรรค์เอาไว้ให้กับโลกฟุตบอล รวมถึงผลงานที่ยาวนานของพวกเขาสองคน แต่เราคุยกันในถึง ณ เวลานี้ ไม่มีใครดีกว่า ซาลาห์ แน่นอน และมันไม่ใช่แค่ฟอร์มที่เพิ่งจะดี แต่เขาทำผลงานได้ดีมาพักใหญ่ และอายุยังหนุ่มแน่นพอจะรักษามาตรฐานของตนเองเอาไว้ต่อไป” เยอร์เก้น คล็อปป์ กล่าวยกย่องฟอร์มของลูกทีมของเขาที่ต้องบอกว่า “ดีจนน่าหมั่นไส้” กันเลย และเชื่อว่าลูกทีมของเขาดีพอจะคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ สักครั้ง
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของ “สัญญาใหม่” ของเขากับ ลิเวอร์พูล ยังคงไม่มีความคืบหน้ามากนัก กับช่วงเวลาที่เหลืออีกประมาณ 20 เดือนในสัญญาเดิม ซึ่งเขาย้ายมาร่วมทีมจาก อาแอส โรม่า ในปี 2017
ตามข้อมูลจาก lfcglobe มีการเปิดเผยตัวเลขค่าเหนื่อยของนักเตะลิเวอร์พูลออกมา ซาลาห์ เป็นนักเตะที่ค่าเหนื่อยสูงที่สุดอันดับสองรองจาก เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ เพียงคนเดียว แต่ ฟาน ไดจ์ นั้นเพิ่งต่อสัญญาใหม่ไปในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยตัวเลขจากเว็บไซต์เดียวกันระบุว่า ฟาน ไดจ์ ได้อยู่ที่ 220,000 ปอนด์ กับสัญญาระยะยาวถึง 2025 เป็นตัวเลขที่ดีเลยสำหรับนักเตะวัย 30 ปี ที่จะอยู่กับทีมไปจนถึง 34 ปี หากครบสัญญา ขณะที่ ซาลาห์ ตัวเลขอยู่ที่ 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และนี่คือการตั้งโต๊ะเจรจาสัญญาใหม่กันแล้ว และตามอายุของนักเตะ นี่จะเป็น “สัญญาระยะยาว” สุดท้ายของ ซาลาห์ แล้วในฐานะของนักเตะลิเวอร์พูล (หากต่อออกไปหลังจากนี้จะไม่ได้ระยะสัญญายาวมากกว่า 4 ปีอีกแล้ว) ดังนั้น สัญญาฉบับนี้คือสัญญาที่ควรจะเป็นสัญญามูลค่าสูงสุดของเขา
ว่ากันตามศักยภาพตลอดที่ผ่านมา ซาลาห์ จารึกตัวเองให้กลายเป็นตำนานสโมสรเรียบร้อย กับการเป็นตัวหลักในทีมชุดแชมป์ พรีเมียร์ ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างละหนึ่งสมัย รวมถึงการถล่มประตูไปแล้ว 139 ประตู จาก 214 เกมที่รับใช้ลิเวอร์พูล เข้าสู่ปีที่ 5 และยังคงอยู่ในแผนงานของลิเวอร์พูลต่อไป
ในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทีมอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านความสำเร็จทั้งในประเทศ และ ยุโรปมาแล้วหนึ่งจุดหนึ่ง พวกเขาปล่อยนักเตะบางส่วนที่เป็นตัวสำรอง หรือไม่ได้ใช้งานออกจากทีมไป เริ่มการใช้งาน นักเตะ เยาวชนของทีมขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมมากขึ้น ลงทุนซื้อนักเตะเฉพาะที่จำเป็น และสุดท้ายคือการเลือกเซ็นสัญญาระยะยาวกับตัวหลักหลายต่อหลายคน ซึ่ง ซาลาห์ คือหนึ่งในแผนงานที่พวกเขาต้องการมัดใจกันต่อไป อย่างไรก็ตาม “ความสุข – รายได้ – ความสำเร็จ” ต้องไปด้วยกัน ซึ่งล่าสุด ซาลาห์ ออกมากล่าวกับ สกาย สปอร์ต ถึงปรารถนาของเขาออกมาเรียบร้อย และเป็นการโยนเรื่องไปให้กับสโมสร เป็นคนตัดสินใจทั้งหมด
“ถ้าคุณถามผม ผมรักที่จะอยู่กับทีมต่อไปจนกระทั่งวันสุดท้ายของการเป็นนักเตะอาชีพของผม แต่ผมไม่สามารถบอกอะไรได้มากกว่านั้น มันไม่ได้ขึ้นกับผม มันขึ้นกับอะไรคือสิ่งที่สโมสรต้องการ ผมมองไม่เห็นตัวเองจะลงเล่นเป็นคู่แข่งกับ ลิเวอร์พูล หากมันเกิดขึ้นคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า และยากต่อการทำใจ แต่เราจะมารอดูกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นต่อไป”
ตัวเลข 350,000 ปอนด์ คือตัวเลขที่สื่อรายงานว่าจะเป็นตัวเลขที่น่าทำให้ปัญหาสัญญาใหม่จบลง อย่างไรก็ตามทั้งหมดก็ยังคงเป็นแค่เพียงข่าวลือ ที่ต้องรอคอยความชัดเจนต่อไป
มองในแง่ของ นักเตะ ซาลาห์ อยู่ในช่วงพีคที่สุดแล้วในชีวิตการเป็นนักเตะอาชีพ นี่คือการเรียค่าเหนื่อยแลกกับผลงานของเขาที่ต้องบอกว่าไร้ที่ติในผลงาน คุ้มแน่นอนถ้าสามารถรั้งเขาไว้ได้กับทีมต่อไป ทั้งนี้การต่อสัญญานักเตะใหม่ก็เหมือนกับ “การลงทุนที่มีความเสี่ยง” สูงมากอย่างหนึ่ง มีหลายเคสที่ทั้งประสบความสำเร็จ และล้มเหลวมาแล้วในแง่ของผลงาน หลังการต่อสัญญาด้วยค่าแรงมหาศาล ไม่รวมถึงปัจจัยอื่นอย่างเช่น อาการบาดเจ็บ ที่ไม่อาจคาดเดาได้
มองในแง่ของ สโมสร หากพวกเขารับข้อเสนอตัวเลขสูงตามที่สื่อคาดเดาออกมา นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดของสโมสรกับ นักเตะ สักหนึ่งคน เท่าที่พวกเขาเคยลงทุนมาก่อน ซาลาห์ จะกลายเป็นคนแรกที่รับค่าเหนื่อยทะลุ 300,000 ปอนด์ของสโมสร ซึ่งนั่นนอกจากรายจ่ายที่มากกว่าเดิมอย่างน้อย 50 % แต่มันจะเป็นการทำลายเพดานค่าเหนื่อยของทีมไปด้วย หลังจากที่พยายามอั้นมานาน และที่สำคัญคือเมื่อมีคนได้รับเรทนั้นมาแล้ว “หนึ่งคน” มันจะไม่จบเพียงแค่นี้อีกต่อไปแน่นอน
ลิเวอร์พูล จึงจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์หลายด้านในเรื่องของการเงิน และการจัดการองค์กร ซึ่งยังคงมี นักเตะหลายคนที่ทีมพร้อมปล่อยออกจากทีมเพิ่มเติม อย่างเช่น อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่ไม่ประสบความสำเร็จกับการย้ายมาเล่นกับทีมตั้งแต่ปี 2017 หรือว่า ดิวอค โอริกี กองหน้าสำรองของทีม เป็นต้น ยังไม่รวมถึงการหารายได้เพิ่มเติมจากความสำเร็จของสโมสรที่ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่อง จากนับจากการคว้าแชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2019 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตามการสามารถต่อสัญญาใหม่กับ นักเตะ ที่ผลงานที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ อย่าง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ก็จะเป็นการยืนยัน และการันตีในแง่ของ “จุดยืนของสโมสร” ในการควานหาความสำเร็จแบบต่อเนื่องยาวนาน ไม่ใช่เพียงแค่ครั้งคราว ลิเวอร์พูล ยุคนี้พิสูจน์ความสามารถในการเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมาได้แล้ว แต่การ “ยืนระยะ” ในการสร้างความสำเร็จระยะยาว พวกเขายังคงต้องสร้างมันต่อไป เหมือนที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยทำได้ หรือว่า เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นสองสโมสรที่ผลงานดีในแง่ถ้วยรางวัลในรอบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา โดยมี ลิเวอร์พูล ผงาดขึ้นมาในช่วง 3 ฤดูกาลหลังสุดนั่นเอง
เกม “แดงเดือด” ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์นี้ ไม่ว่าจะผลเป็นอย่างไร จะไม่มีผลต่อสัญญาใหม่ของ ซาลาห์ อย่างแน่นอน แต่มันก็จะเป็นพื้นที่ให้ ซาลาห์ จะได้แสดงให้บอร์ดบริหาร ลิเวอร์พูล และทีมอื่นได้เห็นว่า ชั่วโมงนี้เขาคู่ควรกับสิ่งใด และ ลิเวอร์พูล ได้เปรียบที่ นักเตะ ยังมองทีมเป็นทางเลือกแรกในการเล่นฟุตบอลนับจากนี้ ขึ้นกับบอร์ดบริหารแล้วล่ะว่า มองเห็นไปในทิศทางเดียวกันหรือเปล่าเท่านั้น