จบไปอีกเกมสำหรับ อาร์เซนอล ในเกมที่ 5 ของฤดูกาล เกมที่แฟนบอลปืนใหญ่ลุ้นกันใจจะวายในครึ่งหลังหลายจังหวะ แต่สุดท้ายถอนใจโล่ง ปากอาจะพลางด่าไปบ่นไป แต่เมื่อจบด้วยสามคะแนน ทุกอย่างก็ดูเบาลงไปในทันที ทั้งในแง่ความรู้สึก อารมณ์ และเมื่อทีมชนะสองเกมติดต่อกัน
ปลายเดือนสิงหาคม แฟนบอลอาร์เซนอล แทบจะดิ้นตายกับผลงานของทีมรักที่เริ่มฤดูกาลกับความพ่ายแพ้ 3 เกมรวด แบบยิงใครไม่ได้เลยใน พรีเมียร์ ลีก มาถึงวันนี้ 17 วันผ่านไปหลังจากนั้น พวกเขาชนะ 2 เกมรวดแบบไม่เสียประตู แม้จะยิงจุ๋มจิ๋มเกมละหนึ่งประตู แต่ก็ต้องบอกว่าสถานการณ์ คลี่คลายกว่าวันที่แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปได้มาก โดยเฉพาะเก้าอี้ของ อาร์เตต้า ที่เกือบหัก และ “น่าจะหัก” ไปแล้ว ถ้า บอร์ดบริหาร ตัดสินใจเชือดเขาหลังจากโดน เรือใบสีฟ้าสอนฟุตบอล อาร์เตต้า เจอ กวาร์ดิโอล่า ผู้เป็นอาจารย์สอนวิชาลูกศิษย์อีกครั้ง
เกมกับ เบิร์นลีย์ เป็นโอกาสที่ดีสำหรับ อาร์เซนอล ตั้งแต่ก่อนเริ่มเกมแล้ว เพราะ “เดอะ คลาเรตส์” ไม่ชนะใครเลยใน 4 เกมแรก สโมสรที่ลงทุนน้อยที่สุดในพรีเมียร์ ลีก ปีนี้น่าจะยังคงเดิมกับเป้าหมายการดิ้นรนหนีการตกชั้น ขณะที่ อาร์เซนอล ปีนี้ไม่ได้ลงเล่นฟุตบอลยุโรป เป้าหมายก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าต้องกลับไปเล่นให้ได้ในปีหน้า
หัวข้อในวันนี้เราจะพูดถึง
การจัดทีมวันนี้ อาร์เตต้า มาแปลกกว่าทุกครั้งเลือกระบบ 4-3-3 ในเกมที่พวกเขาไม่มี กรานิท ชาก้า (แบน) และ โมฮัมเหม็ด เอลเนนี่ (บาดเจ็บ) ส่วน ร็อบ โฮลดิ้ง กองหลังอีกคนเจ็บหัวเข่าพลาดเช่นกัน อาร์เตต้า ได้เลือกนักเตะที่ค่อนข้างครบมือมากในเกมนี้ และลองระบบอีกรอบ กับการใช้งาน 3 กองกลางแทนที่ระบบ คู่กลาง แบบที่ใช้ 4-2-3-1
เอมิล สมิธ โรว์ – โธมัส ปาเตย์ – มาร์ติน เออเดการ์ด คือสามกองกลางในวันนี้ และผลงานที่ออกมา ถือว่าไม่เวิร์คเท่าไร กับเกมแรกที่ลองใช้งานแผนนี้ในเกมระดับพรีเมียร์ ลีก แต่ก็ยังเชื่อว่าในอนาคตเราจะได้เห็นแผนการเล่นแบบนี้อีก
อาร์เซนอล 45 นาทีแรก อาจจะครองเกมได้มากกว่า แต่การเข้าทำก็ไม่ได้มากขึ้นกว่าทุกครั้ง การเล่นระบบนี้ ปาเตย์ เล่นเหมือนกองกลางเชิงรับ ยืนต่ำที่สุด มาร์ติน เออเดการ์ด กับ สมิธ โรว์ ขึ้น-ลง สลับลงมารับบอล เพื่อต่อเกมไปข้างหน้า ที่มี ซาก้า – โอบาเมยอง และ เปเป้ อยู่ด้านหน้า แถมด้วยการให้ คีแรน เทียร์นีย์ เติมขึ้นมาเพิ่มทางเลือกด้านซ้ายให้อีกหนึ่งคน แต่ปัญหาคือ นักเตะ กลับไม่สามารถพาบอลไปได้อย่างที่ควรจะเป็น ครองบอลได้เยอะ แต่พอเลยครึ่งสนามไป การวางกองกลางตัวรุกสองคน พาลุยไปข้างหน้า แต่การเชื่อมเกมกลับทำได้น้อยเกินไป ผลที่ออกมาก็คือ บอลไปไม่ถึงกองหน้า การเล่นร่วมกับตัวริมเส้นสองฝั่ง ก็เป็นปัญหา ซาก้า และ เปเป้ ไปคนเดียวไม่รอด เมื่อกองหลังเบิร์นลีย์ ก็รู้พิษสง และเจอกับสายสปีดมานักต่อนักแล้ว พวกเขาซ้อนสองตลอด ผ่านหนึ่ง เจอสอง กำลังจะผ่านสอง บอลไปได้ คนอย่าหวัง นี่คือสไตล์เกมรับเบิร์นลีย์ พวกเขาไม่ได้มีเทคนิคอะไรมาก แต่เรื่องพละกำลัง หัวใจนักสู้ พวกเขาไม่เป็นรองใคร
อาร์เซนอล ตีบตันอยู่พักใหญ่ แต่เมื่อตนเองครองบอลได้มาก จังหวะมันก็ลองพยายามเข้าไปมากขึ้น และนำมาซึ่งประตู เออเดการ์ด ออกบอล ให้ซาก้า ที่ตัดเข้ามากลาง ปล่อย ให้เทียร์นีย์ ขึ้นเกมทางซ้ายไปแทน ลุยเข้าหน้าเขตโทษ จังหวะนี้แทบจะเป็นครั้งเดียวในครึ่งแรกที่ แนวกลาง เบิร์นลีย์ พลาดปล่อยให้ มีพื้นที่ในระดับ 40 หลาหน้าเขตโทษ ก่อนที่ ซาก้า จะลุยเข้าไปตรงกลาง และกำลังจะตัดสินใจจะส่งต่อหรือยิงเอง สุดท้าย แอชลีย์ เวสต์วูด ตัดสินใจให้เองด้วยการตัดฟาลว์ หน้าเขตโทษ…ลูกนี้ เปเป้ ผายมือรอขอบอลรอแล้วแต่ก็ได้แต่รอเก้อไป
จังหวะฟรีคิกระยะอันตราย อาร์เซนอล ในช่วงหลายปีทีผ่านมา ต้องบอกว่าตั้งแต่ช่วงยุค อาร์แซน เวนเกอร์ แล้ว อาร์เซนอล ไม่มีตัวฟรีคิกทีเด็ดทีขาดเลย นับจากหมด ซานติ กาซอร์ล่า ไป พอมายุคนี้ก็มีหลายคนพยายามขอรับหน้าที่นี้ทั้ง โอบาเมยอง, เป้เป้, ชาก้า หรือว่า ปาเตย์ แม้กระทั่ง เมดแลนด์-ไนลส์ ก็เคยมาขอลองรับหน้าที่นี้ แต่สุดท้ายคนที่ทำได้คนแรกในฤดูกาลนี้กลับเป็น มาร์ติน เออเดการ์ด ปั่นโค้ง ๆ เข้าไปสวยงาม ลูกนี้อาจไม่ได้มุมเข้าเสาแบบตามตำรา แต่ก็มากพอจะทำให้ นิค โป๊ป พลาดได้ นั่นก็เป็นอันใช้ได้
ครึ่งหลังเกมยังเป็นแบบเดิม แต่ เบิร์นลีย์ พยายามโหมตั้งแต่ต้น ครองบอลได้มองหากองหน้าตัวเป้า อย่าง คริส วู้ด เน้นลูกกลางอากาศ ที่เป็นจุดเด่นจุดขายของทีม แต่วันนี้เกมรับ อาร์เซนอล ทำได้ดี การยืนประกบตัว ไม่มั่วซั่วแบบที่เคยเห็นมาก่อน เช่นเดียวกับ การไม่เล่นมากจังหวะ เคลียร์ได้เคลียร์ ไม่เสี่ยงอะไรทั้งนั้น ในขณะที่การตั้งเกม ถ้าไม่นับจังหวะการพลาดของ เบน ไวท์ วันนี้ขึ้นเกมได้แบบไม่อึดอัด ไม่ฝืน และก็ไม่ได้ออกบอลพลาดแบบไม่ควรพลาดในเกมรับ จนกระทั่งทีมมาเปลี่ยนระบบการเล่นเป็น 4-2-3-1 กับการถอด เอมิล สมิธ โรว์ ออก และส่ง แซมบี้ โลกอนก้าลงสนาม ช่วงเวลา 5-10 นาที ก่อนจะเกิดความผิดพลาดของ เบน ไวท์ อาร์เซนอล แทบจะครองบอลได้แบบเบ็ดเสร็จอยู่พักหนึ่ง มีจังหวะขึงเกมได้ แต่พวกเขาทำให้มันได้มากกว่านั้นเองไม่ได้ ทั้งที่โอกาสก็เปิดให้หลายครั้ง
จังหวะความผิดพลาดของ เบน ไวท์ นับเป็น “Personal Error” ใหญ่ครั้งเดียวในเกมรับ และเกือบกลายเป็นจุดโทษ ที่ต้องบอกกล่าวขอบคุณ VAR ที่ทำให้อาร์เซนอลได้ลุ้น เพราะถ้าไม่มีจากมุมมองผู้ตัดสินคือให้จุดโทษไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการมาดูภาพช้า จากความเห็นของผู้เขียน เห็นว่า แรมสเดล โดนบอลก่อน ไวดร้า เล็กน้อยและการสัมผัสกันระหว่างนักเตะทั้งสองคน “อาจจะ” เกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นเลย ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้กรรมการไม่ให้จุดโทษ
อย่างไรก็ตามหลังจากตรงนั้น อาร์เซนอล กลายเป็นตกที่นั่งลำบาก บรรยากาศของแฟนบอลเจ้าบ้านระอุมากขึ้นเร่งเร้ามากขึ้น นักเตะ เจ้าบ้านก็เดือดดาลไม่พอใจ พวกเขาบุกหนัก กดดันมากขึ้น ขณะที่ อาร์เซนอล แม้จะแก้ไขจังหวะออกมาได้ แต่การสวนกลับผิดพลาดบ่อยครั้งมาก พวกเขาควรทำได้ดีกว่านี้ เพราะ เบิร์นลีย์ ก็ไม่ได้ว่าเกมรับแน่นอะไรแล้ว ในช่วงท้ายเกม แต่เป็น อาร์เซนอล ต่างหากที่พื้นที่สุดท้าย ไม่ละเอียดกันเอง ซาก้า – โอบาเมยอง – เปเป้ วันนี้ต่ำกว่ามาตรฐานในเรื่องของความละเอียดในการผ่านบอล ถ้าทำได้ดีกว่านี้ อาร์เซนอล จะไม่เหนื่อยจนถึงจบเกม นี่คือสิ่งที่ผิดพลาดใหญ่อย่างหนึ่งในเกมนี้ คือการมีโอกาสแล้วทำไม่ได้ และสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ ไม่ปล่อยให้คู่แข่งได้โอกาสลุ้นกลับสู่เกม
วันนี้เกมรับเป็นเดอะแบกของทีม ส่วนเกมรุกวันนี้เป็นภาระของทีม เพราะในช่วงที่ลำบาก เกมรุกกลับไม่สามารถส่งแรงกดดันกลับคืนไปยังคู่แข่งได้บ้าง เพื่อทำให้เกมรับทำงานน้อยลง ในทางกลับกันยังเสียบอลเร็วจนต้องมาตั้งรับกันวุ่นวายอีกด้วย สามคะแนนวันนี้ ไม่แปลกใจที่เมื่อจบเกมจะมีภาพของ อารอน แรมสเดล สะใจไปกับ กาเบรียล ที่วันนี้ทำผลงานได้โดดเด่นทั้งคู่ โดยเฉพาะ แรมสเดล ที่ความนิยมในตัวของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ กับฟอร์มที่มั่นคง และความมุ่งมั่นที่แสดงออกมาระหว่างเกม ดูทรงแบบนี้แล้วไม่มีเหตุผลใดที่เกมลีกนัดต่อไป แรมสเดล จะไม่ได้รับโอกาสอีกครั้ง
อาร์เซนอล ณ เวลานี้ ดูมีความหลากหลายมากขึ้นจากรูปแบบการเล่นที่สองเกมหลังสุด เราได้เห็นทั้ง 4-2-3-1 / 4-1-4-1 / 4-3-3 ซึ่ง มิเคล อาร์เตต้า เลือกมาใช้งานในทีมจากตำแหน่ง และตัวผู้เล่นที่มีอยู่ แต่ในแง่ของโครงสร้างทั้งหมดมีความชัดเจนว่าเลือกใช้กองหลัง 4 คน ที่เหลือคือวิธีการยืนตำแหน่งของตัวด้านบน ที่ยังคงต้องดูกันต่อไปว่า จะทำให้มันลงตัวได้แค่ไหน โดยเฉพาะเกมรุก ที่แม้จะชนะได้ แต่เกมรุกก็ต้องบอกว่าทื่อมาก กับการชนะ 1 ประตูมาสองเกมติดต่อกัน มันอาจได้ผลน่าพอใจ แต่กับการเจอทีมที่ใหญ่กว่านี้ จะรอดไหม มองไปถึงเกม “สงครามลอนดอนเหนือ” กับสเปอร์สในช่วงปลายเดือนนี้ เดี๋ยวก็คงได้ทราบคำตอบว่า กองหลังที่ว่าผลงานดีจนเราชื่นชมกัน เมื่อเจอกับ แฮร์รี่ เคน – ซอน และ ลูคัส มูร่า เราจะทำได้แบบนี้หรือเปล่า เช่นเดียวกับ เกมรุก จะสร้างโอกาสได้แค่ไหน ตรงนี้อีกหนึ่งสัปดาห์รู้เรื่องแน่นอน แต่เกมนี้ สามคะแนน แบบทุลักทุเล ไม่สวยงาม อย่างที่ใครพอใจ แต่ก็เชื่อได้ว่า มันก็ดีกว่า “สวยแต่ทรงจบไม่มีแต้ม” อย่างแน่นอน