การได้เห็น นักเตะ ที่บาดเจ็บหนักกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง นับเป็นเรื่องที่ดีมาก สำหรับทุกคน ไม่ใช่เพียง นักเตะ และคนในครอบครัวเพียงอย่างเดียว
เรื่องราวอาการบาดเจ็บของ ราอูล ฆิมิเนซ (30 ปี สัญญาถึงกลางปี 2024) หัวหอกทีมชาติเม็กซิโกของ วูลฟ์สแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส น่าจะเป็นหนึ่งในอาการบาดเจ็บครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในฤดูกาล 2020-2021 ที่ผ่านมา เพราะมันทำให้เขาต้องพักยาวถึง 9 เดือนเต็ม จากเหตุการณ์ขึ้นแย่งโหม่งกับ ดาวิด ลุยซ์ กองหลังบราซิเลี่ยน ในเกมที่พบกับ อาร์เซนอล เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2020 พร้อมกับภาพการน๊อคลงไปกองกับพื้นของทั้งสองคน ก่อนที่สุดท้าย ฆิมิเนซ จะต้องโดนหามออกจากสนาม และถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลทันที ตามมาด้วยผลการวินิจฉัยว่าเขามี “กระโหลกร้าว”
คนที่เสียใจที่สุดคนหนึ่งคือ ดาวิด ลุยซ์ แม้ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้มีใครเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว และเช่นเดียวกันหนึ่งในคนที่ดีใจที่สุดที่ได้เห็น ฆิมิเนซ ลงสนามได้แล้วในเกม นัดเปิดสนามกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ก็คือ ลุยซ์ เช่นเดียวกัน
“ขอพระเจ้าอวยพรนะน้องชาย” ดาวิด ลุยซ์ กล่าวถึง ราอูล ฆิมิเนซ หลังเห็นการกลับมาลงสนามได้แล้วของ หัวหอกจังโก้ ที่ยังคงต้องใช้เครื่องป้องกันศีรษะลงเล่นอยู่ แต่ก็เป็นเรื่องน่ายินดี หากมองย้อนกลับไป 9 เดือนที่แล้ว ที่มันย่ำแย่ถึงขั้นที่ว่าเขาอาจจะต้องเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ
เรื่องราวนับจากนี้คือบทสัมภาษณ์ของเขา หลังการกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง และมันเหมือน “เกิดใหม่” สำหรับ นักเตะ ผู้ซึ่งผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมาแล้ว
“ผมจำได้แค่ว่าเราเดินทางไปถึง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ผมเตรียมตัว ลงวอร์ม และก็กลับมาเข้าในห้องแต่งตัว ก่อนจะลงสนาม ที่เหลือผมจำอะไรไม่ได้เลย ตอนตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล ผมมึนงงไปหมด จนทีมงานสโมสรต้องส่งภาพให้ผมดูว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง นั่นล่ะผมถึงรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะผมจำอะไรไม่ได้เลย”
“ตอนเกิดเรื่อง ผมต้องเข้าผ่าตัด หมอมาบอกผมว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับผม และมันมีความเสี่ยงอะไรบ้าง เวลานั้นผมไม่อยากรู้มันเลย แต่มันก็คือสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ หมอบอกว่ามันเหมือน ปาฏิหาริย์ ที่ผมยังมีชีวิตอยู่”
“กระดูกกะโหลกมีความเสียหาย มีเลือดออกเล็กน้อยในสมอง นั่นคือเหตุผลที่ทำไม พวกเขาต้องเร่งผ่าตัดทันที และผมต้องขอบคุณการทำงานที่ยอดเยี่ยมของทีมแพทย์อย่างมาก กับการทำงานที่พวกเขาทำให้ผมตั้งแต่แรกของเหตุการณ์ และพวกเขาสนับสนุนผมตลอดช่วงเวลาในการรักษา”
“การแตกหักของกะโหลกมันใช้เวลาในการฟื้นฟูยาวนานกว่าที่เราทุกคนคาดการณ์เอาไว้ และมันเหมือนปาฏิหาริย์ จริง ๆ ที่ผมยังคงอยู่ที่นี่ และลงเล่นฟุตบอลต่อไปได้”
“ผมคิดเสมอว่า อาการบาดเจ็บที่ผมได้รับ มันก็เหมือนกับคนที่บาดเจ็บข้อเท้า หรือหัวเข่า มันต้องมีทางรักษาได้ และผมมั่นใจว่าผมจะกลับมาได้ แม้ว่าจะนานกว่าที่คิดไว้ก็เถอะ แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเลิกเล่นฟุตบอล ไม่คิดว่าผมจะจบทุกอย่าง เพราะ อาการบาดเจ็บครั้งนี้ หากมีโอกาสผมจะทำมัน นั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อมั่นมาตลอด”
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่าง ดาวิด ลุยซ์ และ ราอูล ฆิมิเนซ นำมาซึ่งการผลักดันการเพิ่มกฎในเรื่องของการให้ความสำคัญกับ อาการบาดเจ็บ บริเวณศีรษะมากกว่าเดิม กรรมการมีสิทธิ์เป่าหยุดเกมได้ทุกเวลา หากเห็นว่า นักเตะ มีอาการบาดเจ็บรุนแรง โดยเฉพาะในส่วนของศีรษะ รวมทั้ง พรีเมียร์ ลีก ยังอนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัวเพิ่มได้อีกหนึ่งคน แม้จะเปลี่ยนตัวครบ 3 คนแล้วก็ตาม หาก นักเตะ มีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ หลายครั้งที่ พรีเมียร์ ลีก “วัวหายล้อมคอก” กับเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัย นักเตะ ในพรีเมียร์ ลีก ทุกคน ลงสนามไปพร้อมกับความเสี่ยง เช่นเดียวกับลีกอาชีพอื่น แต่ด้วยที่ว่าการเล่นที่รวดเร็ว และ เข้าบอลกันหนักของลีกอังกฤษ มันก็เหมือนคุณยังคงขับรถเร็วในเวลาที่มีรถบนท้องถนนจำนวนมาก อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้มากกว่าปกติหลายเท่าตัว
กะโหลกร้าว ไม่ใช่สิ่งที่เคยเกิดขึ้นครั้งแรกในสนามแข่งพรีเมียร์ ลีก หลายครั้งมันก็เกิดขึ้น และก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย และกฎตามมา ย้อนไป 15 ปีที่แล้ว ปีเตอร์ เช็ก นายทวารที่ลงเล่นกับ เชลซี เวลานั้น ก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกัน กับการปะทะในจังหวะออกมาตัดบอล และโดนหัวเข่าของ สตีเฟ่น ฮันท์ นักเตะ เรดดิ้ง กระแทกเข้าที่ศีรษะจนกะโหลกร้าว และทำให้เขาต้องพักยาว และกลับมาพร้อมกับภาพลักษณ์ใหม่ ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเขาในเวลาต่อมานั่นคือการสวม “เฮดการ์ด” ตลอดเวลา แม้ว่าจะหายดีแล้วก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนั้น โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมเชลซี ออกมาโวยให้ พรีเมียร์ ลีก มีการจัดการในเรื่องของการดูแล นักเตะ บาดเจ็บ ให้ทันท่วงที และส่งผลให้มีการเตรียมรถพยาบาลเอาไว้สแตนบายตลอดเกมการแข่งขัน พร้อมเสมอหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ว่าใครก็ขออย่าได้เจอ แต่ถ้าต้องเจอก็พร้อมเข้าช่วยเหลือทันที
“ผมได้รับการสนับสนุนที่ดี และความห่วงใยจากหลายคน หนึ่งในนั้นคือ ปีเตอร์ เช็ก ติดต่อเข้ามาถึงผม และบอกว่าถ้าผมต้องการให้เขาช่วยเหลืออะไร เขาพร้อมที่จะช่วยเหลือ ครั้งหนึ่งทีมไปเล่นในลอนดอน เช็ก มาที่พักของทีม และคุยกับทีมแพทย์ของวูลฟ์ส เขามอบเฮดการ์ดมาให้กับผม และส่งข้อความเป็นกำลังใจให้”
“เฮดการ์ดที่ผมใส่ คือสิ่งที่หมอบอกให้ผมใส่มันเอาไว้ เพื่อป้องกันตัวเอง ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องอันตรายใดกับผมอีกแล้ว แต่สำหรับผม ถ้าทุกอย่างปกติแล้ว ผมรู้สึกอึดอัดกับการใส่มัน ผมก็จะไม่ใส่มันลงสนาม ผมรู้สึกดีกว่าตอนไม่มีมัน แต่ผมก็รู้ว่ามันจำเป็นต้องใส่เอาไว้ ผมตกลงกับหมอไว้แล้ว ผมจะทำตามเพื่อความปลอดภัย และความสบายใจของทุกคนที่ช่วยเหลือผมมาตลอด”
การกลับมาของ ฆิมิเนซ มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ของทีม นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ จากทีมไปแล้ว บรูโน่ ลาเก้ ที่ชื่นชมเขาอย่างมาก หลังการรอคอยที่จะได้ร่วมงานด้วยมาหลายปี
“ตอนผมอยู่กับ เบนฟิก้า ผมมีชื่อของกองหน้าที่ผมอยากร่วมงานด้วย ชื่อของ ราอูล ฆิมิเนซ คือหนึ่งในนั้น แต่พอผมขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่ ทีมกลับปล่อยตัวเขาไปเล่นกับ วูลฟ์ส แล้ว…มันถึงเวลาที่จะได้ทำงานร่วมกันแล้ว”
9 เดือนแห่งการร้างสนามไป ฆิมิเนซ กลับมาลงสนามได้ตั้งแต่ในช่วงพรีซีซั่น และทำประตูได้ด้วย อย่างไรก็ตาม มันก็เทียบไม่ได้กับการลงสนามในเกม พรีเมียร์ ลีก อีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนาน
“ผมรอคอยมันมาอย่างยาวนาน รอคอยเสียงเชียร์จากแฟนบอล ที่ตะโกนเรียกชื่อผม มันเป็นสิ่งที่ผมคิดถึงมาก ผมลงสนามไป ความรู้สึกเดิม ๆ กลับมา ผมกลับมาเป็น นักเตะ อาชีพเต็มตัวอีกครั้งแล้ว”