ฟุตบอลลีก คัพ (League Cup) รอบชิงชนะเลิศกำลังจะเวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่งในสุดสัปดาห์นี้ และครั้งนี้เป็นปีที่ 63 แล้วสำหรับรายการแข่งขันฟุตบอลถ้วยหนึ่งในสองรายการใหญ่ของประเทศอังกฤษ และในปีนี้เป็นการเจอกันของสองทีมหัวตารางพรีเมียร์ ลีก อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้าชิงรายการนี้เป็นครั้งที่ 10 ครั้งล่าสุดคือในปี 2017 ขณะที่ทัพ “สาลิกาดง” ลงเล่นเป็นครั้งแรกในรอบชิงชนะเลิศนับจากปี 1976 หรือเมื่อ 47 ปีที่แล้ว
ในแง่ง่ามความยิ่งใหญ่รายการนี้อาจจะเล็กที่สุดสำหรับการลุ้นแชมป์สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และสำหรับนิวคาสเซิ่ลพวกเขาสามารถพูดได้ว่า “Once Upon a Time” สำหรับเหล่าแฟนบอลจำนวนมากที่ยังไม่เคยเห็นทีมเข้าชิงรายการนี้มาก่อน และหวังว่าการเข้าชิงชนะเลิศรายการนี้จะเป็นหมุดไมล์ที่ดีสำหรับพวกเขา หลังการเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรของกลุ่มทุนซาอุดิ อาระเบีย เมื่อช่วงปลายปี 2021 ที่นับจากนั้นชีวิตของเหล่า “ทูน อาร์มี่” ก็มีดีขึ้นเรื่อย ๆ บรรยากาศยอดเยี่ยม เหล่านักเตะระดับชั้นนำก็เริ่มเข้ามาสู่ทีมมากขึ้น และแน่นอนอันดับในตารางคะแนนไม่โกหกใคร
ลีก คัพ คือรายการแข่งขันที่เปิดให้กับสโมสรทั้ง 92 สโมสรใน 4 ลีกอาชีพ (พรีเมียร์ ลีก, เดอะ แชมเปี้ยน ชิพ, ลีก วัน และ ลีก ทู) เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้ถ้วยรางวัล และสิทธิ์ลงเล่นในเกมยูฟ่า ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก รอบเพลย์ออฟ ในฤดูกาลหน้า แน่นอนสำหรับทั้งสองผู้เข้าชิงในปีนี้ ถ้วยรางวัลคือ “เกียรติยศ” ส่วนสิทธิ์พวกเขามองเป็นเรื่องรองไปแล้ว เพราะพวกเขามีโอกาสสูงจะลงเล่นฟุตบอลยุโรปในรายการที่ใหญ่กว่าในฤดูกาลหน้า
ที่ผ่านมา ลีก คัพ เป็นรายการแรกที่มีการขายสิทธิ์ชื่อรายการแข่งขันให้กับผู้สนับสนุน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1981 เป็นต้นมา Milk Marketing Brand (ปัจจุบันปิดกิจการไปแล้วในปี 2003) เป็นแบรนด์แรกที่เข้ามาสนับสนุนรายการแข่งขันภายใต้ชื่อ “Milk Cup” ซึ่งต่อจากนั้นเป็นต้นมาก็มีการเปลี่ยนชื่อมาเรื่อยตามผู้สนับสนุน ยกเว้นในฤดูกาล 2016-2017 ที่พวกเขาไม่สามารถหาผู้สนับสนุนได้ก็กลับมาใช้ชื่อ อีเอฟแอล คัพ (EFL Cup) หรือก็คือชื่ออย่างเป็นทางการของลีก คัพ นั่นเอง จนกระทั่งล่าสุด คาราบาว ก็เข้ามาเป็นผู้สนับสนุน ซึ่งสัญญาปัจจุบันของพวกเขาจะหมดลงในปี 2024 หรือก็คือในฤดูกาลหน้า ซึ่งต่อมาด้วยสภาพเศรษฐกิจ และผลประโยชน์ทำให้ รายการแข่งขัน ทั่วโลกต่างก็มีการขายสิทธิ์ชื่อรายการแข่งขันกันมากมาย อย่างเช่น ไทย ลีก กับโตโยต้า หรือกระทั่งพรีเมียร์ ลีก ก็เคยมีผู้สนับสนุนอย่าง บาร์เคลยส์ (Barclays) ซึ่งเป็นธนาคารสัญชาติอังกฤษ เป็นผู้สนับสนุนชื่อรายการแข่งขัน ก่อนที่ต่อมา พรีเมียร์ ลีก จะปิดการรับผู้สนับสนุนในส่วนนี้
การแข่งขันลีก คัพ ถูกประเมินว่าเป็นถ้วยที่มีความสำคัญน้อยที่สุดสำหรับทีมใหญ่ น่าสนใจสำหรับทีมขนาดกลาง และยิ่งใหญ่สำหรับทีมขนาดเล็ก ซึ่งนั่นเราจึงมักเห็นการล้มยักษ์ หรือบอลพลิก จากในรายการนี้หลายครั้งในแต่ละฤดูกาล หลายครั้งเราจึงได้เห็นการจัดทีมแบบ “ไม่เน้น” ในหลายสโมสรกับรายการนี้ บางสโมสร อย่างเช่น อาร์เซนอล เป็นหนึ่งในตัวตั้งตัวตีกับแนวคิดการใช้เวที ลีก คัพ คือเวทีสำหรับการหาประสบการณ์สำหรับนักเตะเยาวชน และเหล่าตัวสำรองลงสนามมาตั้งแต่ยุคของอาร์แซน เวนเกอร์ ก่อนที่ต่อมาจะมีหลายสโมสรทีมีภารกิจฟุตบอลถ้วยยุโรปทำตาม และตอนนี้กลายเป็นปกติไปแล้วว่า ถ้าไม่เป็นการเจอระหว่างสโมสรในพรีเมียร์ ลีกด้วยกัน พวกเขาก็พร้อมเทเหล่านักเตะดาวรุ่งลงสนามกันเกินครึ่งทีม เพื่อมา “ลองของ” ว่ามีศักยภาพมากแค่ไหน หรือกระทั่งเจอทีมพรีเมียร์ ลีก ด้วยกันเอง พวกเขายังคงโรเตชั่นนักเตะบางส่วน นี่คือคำตอบด้วยพฤติกรรมที่ว่า พวกเขามองรายการแข่งนี้ไว้ตรงไหน ในเมื่อรายได้, รางวัลตอบแทน มันไม่ได้มากเท่ากับรายการอื่น ความสำคัญก็ลดลงตาม และนั่นทำให้เกิดคำล้อเลียนว่าเป็น “Mickey Mouse Cup” หรือนัยว่าเป็นถ้วยสำหรับเด็ก
มีหลายครั้งที่จะได้ยินข่าวเกี่ยวกับการให้มีการยกเลิกรายการแข่งขัน หรือการตัดสโมสรบางส่วนออกจากรายการแข่งขันเพื่อให้คงไว้ซึ่งความสำคัญของรายการแข่งขัน รวมถึงลดจำนวนเกมของเหล่าสโมสรเหล่านั้น แต่จนแล้วจนรอดมาวันนี้ ลีก คัพ ยังคงอยู่ในสารบบของฟุตบอลอังกฤษในรูปแบบการแข่งขันเดิม และการได้แชมป์รายการนี้ก็ยังนับเป็นความสำเร็จที่ “นับได้” ในประวัติศาสตร์ของทุกสโมสรที่ได้รับมันไป อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2017-2021) กลายเป็นสโมสรที่สองต่อจาก ลิเวอร์พูล (1981-1984) ที่คว้าแชมป์รายการนี้ 4 สมัยติดต่อกัน และแน่นอนในเกมรอบชิงชนะเลิศที่จะถึงนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ นิวคาสเซิ่ล พร้อมจะจัดทัพใหญ่ที่ดีที่สุดของพวกเขาลงสนามเพื่อนำถ้วยนี้กลับเมืองของตนเอง
อย่างไรก็ตาม อีเอฟแอล (EFL – English Football League) ในฐานะฝ่ายดูแลการแข่งขันโดยตรง ก็ต้องพยายามมองหาความน่าสนใจของการแข่งขันให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพวกเขามีการเตรียมประชุมเกี่ยวกับอนาคตของรายการแข่งขันนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แน่นอนพวกเขาต้องการรายได้เข้ามาบริหารจัดการในหลายเรื่องนอกจากเพียงรายการแข่งขันนี้ พวกเขายังมีอีกสามลีกล่างที่ต้องดูแลและจัดการ
พวกเขากำลังมองความเป็นไปได้ในการที่จะมอบโอกาสให้กับสามทีมจาก เนชั่นแนล ลีก หรือลีก 5 ของประเทศที่ต่อจาก ลีก ทู ได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันรายการนี้ และจะมีการเพิ่มเติมในรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติม บนข้อเท็จจริงที่ว่า ยูฟ่า มีการประกาศแล้วว่าพวกเขาจะมีการปรับรูปแบบของการเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปในปี 2024 และจะเป็นการเบียดพื้นที่ของ ลีก คัพ ให้น้อยลงไปอีก ในกรอบเวลาเดิมที่มีอยู่ ความสำคัญของพวกเขาจากที่น้อยอยู่แล้วก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ยังไม่รวมถึงเรื่องของการเงินในสโมสรระดับล่าง ที่นับวันพวกเขาต้องเจอกับปัญหามากมายสโมสร และพวกเขาไม่อยากเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ บิวรี่ เอฟซี ที่กลายเป็นอดีตสโมสรฟุตบอลจากการล้มละลาย และตอนนี้พวกเขาเกิดใหม่ในชื่อ บิวรี่ เอเอฟซี ซึ่งก่อตั้งโดยกลุ่มแฟนบอล และต้องไปเริ่มต้นในใน นอร์ท เวสต์ คันทรี่ ลีก ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 9 ของลีกจากจำนวน 20 ระดับของวงการฟุตบอลอังกฤษ หรืออย่างล่าสุด เบอร์มิงแฮม ซิตี้ กำลังถูกสอบสวนเกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการที่เข้าข่ายผิดกฎ หรือว่า วีแกน แอตเลติก สโมสรในระดับเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ที่มีปัญหาการเงินอย่างรุนแรง จากเจ้าของสโมสรที่มีธุรกิจในฮ่องกง ที่เข้ามาซื้อกิจการของทีมแต่ไม่เคยเข้ามาชมเกมเลยแม้แต่ครั้งเดียว เป็นต้น
ดังนั้นการคงอยู่ของ ลีก คัพ จึงยังคงเป็นหนึ่งในทางหารายได้ และเพิ่มโอกาสในทางรอดของเหล่าทีมในลีกล่างในยุคที่ หาก “พรีเมียร์ ลีกคือท้องฟ้า ลีกทูคือใต้พิภพ” ช่องว่างระหว่างลีกห่างออกไปทุกที ด้วยเม็ดเงินที่หมุนเข้ามาในสโมสรแบบคนละเรื่อง และหากยังไม่มีการจัดการที่เป็นรูปธรรมสักวันหนึ่งมันจะกลายเป็นการเหลื่อมล้ำที่ไม่สามารถกลับมาเป็นแบบเดิมได้อีกต่อไป เพราะทุกวันนี้มันก็เหลื่อมล้ำกันมากอยู่แล้ว
ฟุตบอลลีก คัพ รายการแข่งขันฟุตบอลถวยถ้วยที่ไม่ยิ่งใหญ่ในแง่ศักดิ์ศรีเท่ากับ เอฟเอ คัพ ที่ได้ชื่อว่าเป็นรายการฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ไม่สร้างรายได้มหาศาลเท่ากับพรีเมียร์ ลีก ที่ทุกทีมพร้อมจะหนีตายเพื่ออนาคตของสโมสรและปากท้องของคนในองค์กร และไม่ได้ยิ่งใหญ่เต็มไปด้วยเกียรติกับการเข้าร่วมในฟุตบอลยุโรป แต่ก็พอจะพูดได้ว่า ลีก คัพ เป็นถ้วยแห่งชีวิตและโอกาสของหลากหลายสโมสรที่เวียนว่ายต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสักวันหนึ่งจะได้ไปอยู่บนท้องฟ้าที่ชื่อว่า “พรีเมียร์ ลีก” ในสักวันหนึ่งนั่นเอง