ความพ่ายแพ้ 0-4 ในเกมที่แอนฟิลด์ น่าจะทำให้ อาร์เซนอล และแฟนบอลปืนใหญ่ กลับมาสู่ความเป็นจริงที่ว่า พวกเขาอยู่ในจุดไหนของพรีเมียร์ ลีก ในฤดูกาลนี้
ก่อนเกม อาร์เซนอล ไม่แพ้ใครมา 10 เกมติดต่อกันในทุกรายการ มีความมั่นใจมากพอสมควร พวกเขาได้ตัวผู้เล่นที่ดีที่สุดกลับมาลงสนามได้ทั้งหมด ขาดเพียง กรานิท ชาก้า เพียงคนเดียวเท่านั้นในเกมนี้ ขณะที่ เซอัด โคลาซินัค ต่อให้ไม่บาดเจ็บก็ยากจะเห็นเขาในสนามเกมระดับนี้ ขณะที่ ลิเวอร์พูล จัดทัพแบบมีปัญหาอยู่พอสมควร แต่พวกเขาลงสนามในเกมนี้แบบมีทัพใหญ่เกือบฟูลทีมใน 11 ตัวจริงในเกมนี้เช่นกัน
ก่อนเกมนี้มองว่า อาร์เซนอล ต้องเล่นเกมให้มีความ “สมดุล” ในเกมรุก และเกมรับให้ดี อย่าบุกน้อยไป อย่ารับมากไป ไม่อย่างนั้นมีโอกาสพังสูง ซึ่งพอเกมเริ่มต้น มิเคล อาร์เตต้า ก็ทำแบบนั้นจริง พวกเขาเริ่มต้นอย่างรัดกุม มองหาเกมสวนกลับเข้าทำ ถูกนำมาใช้ตามแผนที่วางไว้ แต่สิ่งที่หายไปคือ สมดุล อย่างที่กล่าวไป จาก 10 นาทีแรก อาร์เซนอล บุกน้อยกว่ารับ กลายเป็นเมื่อผ่านครึ่งชั่วโมง บุกแทบไม่ได้เลย แต่เกมรับยังคงทำงานหนัก ก่อนที่สุดท้าย หลังจากที่เสียสมดุล “รุก-รับ” ไปแล้ว การเสียประตูแรกก็มาถึง น่าเสียดาย เพราะมันคือความผิดพลาดจากการการรับมือลูกตั้งเตะ ซึ่งมองย้อนไปครั้งสุดท้ายที่เสียประตูจากลูกตั้งเตะ ก็คือเกมที่โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สอนบอลเมื่อปลายเดือนสิงหาคมนั่นเลย
เกมเพรสซิ่งของลิเวอร์พูลทำงานได้ผลอย่างชะงัด พวกเขาค่อย ๆ ไล่บดกดดันตั้งแต่แดนบน บดขยี้เก็บบอลสองได้ในแดนกลาง ถ้าพลาดปล่อยให้นักเตะอาร์เซนอลหลุดมา ก็จะมาเจอกับ เพรสซิ่ง และแดนหลังที่แข็งแกร่ง นำโดย เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ ได้บอลกลับมาเซตเกมรุกเดินหน้าต่อ วนลูปกันจนกลายเป็น “บุกข้างเดียว” ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
แน่นอนคุณภาพของการเล่นเพรสซิ่งของ นักเตะ ลิเวอร์พูล เล่นกันเป็นระบบเข้าใจในโครงสร้างของแผนงานชัดเจน อาร์เซนอล ไม่เคยเจอสถานการณ์ตัวผู้เล่นตรงกลางมากกว่าลิเวอร์พูลเลยในจังหวะแกะเพรสซิ่งกลางสนาม เกมรับอาจจะดักตัดบอลเอาไว้ได้ แต่เมื่อพยายามตั้งเกมขึ้นมา ลิเวอร์พูล แทบไม่ปล่อยให้ อาร์เซนอล เคาะบอลออกมาได้อย่างสบาย บีบทางเลือกให้จังหวะต่าง ๆ เหลือเพียงทางเลือก 1-2 ทาง ไม่คืนหลัง ก็ต้องออกบอลไปให้ในเส้นทางที่พวกเขาเหลือเอาไว้ให้ กองกลาง อาร์เซนอล วันนี้ ปาเตย์ – โลกอนก้า ทำได้เพียงแก้ไขสถานการณ์จังหวะต่อจังหวะ ไม่ต้องมองถึงตัวรุก 4 คน บางจังหวะดูเหมือนจะได้สวนกลับ แต่ในความจริงคือ เส้นทางที่บอลไปถึงพวกเขา มันคือเส้นทางเดียวเดียวที่ นักเตะ ลิเวอร์พูล เหลือเอาไว้ให้ และเข้าไปรุมแย่งบอลกลับมาได้อย่างรวดเร็ว บางจังหวะจะเห็น นักเตะ 3 ต่อ 1 หรือแย่ถึง 4 ต่อ 1 ที่ อาร์เซนอลต้องเสียบอล กลับมาอย่างรวดเร็ว นี่ยังไม่รวมถึงการทำพลาดเองของผู้เล่น อาร์เซนอล
ยิ่งเสียบอลเร็ว กองหลังก็ยิ่งต้องทำงานหนัก กว่าจะแย่งกลับมาได้ เซตบอลขึ้นหน้า กองกลาง แกะเพรสซิ่งได้น้อยมาก ยังไม่ทันหายใจเต็มปอดสักเฮือกเสียบอลอีกแล้ว สุดท้าย เริ่มมีการลองเสี่ยงโยนยาวบ้าง เตะทิ้งบ้าง ทีนี้เข้าทางลิเวอร์พูล กลายเป็นวนลูปแบบนี้จนเสียประตู
สิ่งเดียวที่ครึ่งแรก อาร์เซนอล ทำให้แฟนบอลพอใจคือ “ใจสู้” และพวกเขาใส่มันลงไปจากมุมมองผู้เขียน จนกระทั่งเสียประตู 3-0 นั่นล่ะ พวกเขาถึงถอดใจ และยอมรับความพ่ายแพ้ หากเทียบเป็น นักมวย อาร์เซนอล ก็เหมือนมวยรอง ที่อดทนรับหมัดคู่แข่งไม่รู้เท่าไร เพื่อหวังจะขอแลกแค่หมัดเดียวที่จะตะบันหน้าคู่แข่งเต็ม ๆ หากใครอ่านมังงะชกมวยเรื่องดังอย่างก้าวแรกสู่สังเวียน เกมนี้ ลิเวอร์พูล ก็เหมือน ริคาร์โด้ มาร์ติเนซ ส่วน อาร์เซนอล ก็เหมือน ดาเตะ เอย์จิ อะไรแบบนั้น เพราะไอ้หมัดที่หวังมันไม่เคยเกิดขึ้นเลย
อย่างไรก็ตามทั้งหมดที่เขียนขึ้นมา ยังไม่ทำให้ อาร์เซนอล พังพินาศในเกมนี้ จนกระทั่ง “Personal Error” หรือความผิดพลาดส่วนบุคคลของ นูโน่ ตาวาเรส ในช่วงต้นครึ่งหลังเกิดขึ้น กับการผิดพลาดที่มาจากความประหม่า และกดดันของนักเตะเอง
ก่อนเกมนี้ ตาวาเรส มี 3 เกมในลีกที่ได้รับคำชมเยอะ มีทั้งความเร็ว เป็นนักเลี้ยงบอลที่ดีคนหนึ่ง แต่เรื่องการตัดสินใจสุดท้าย เป็นปัญหามาตลอด มาคราวนี้ปัญหาของเขากลายเป็น Personal Error ที่ร้ายแรงที่สุดของเกม เพราะมันคือการออกบอลไปเข้าเท้า ดิโอโก้ โจต้า ในระยะสังหาร ซึ่ง โจต้า ก็นิ่งพอจะล็อคหลบ เบน ไวท์ ที่เข้ามาสกัดแบบพรวดพราด จากการผิดพลาดแบบไม่คาดคิดของเพื่อนร่วมทีม แถมดึงหลอก แรมสเดล อีกจังหวะ ก่อนอัดเข้าไปเป็นประตูที่สอง
ประตูนี้ต่างหากที่ดับลมหายใจของอาร์เซนอลในเกมนี้ การนำห่าง 2 ประตู เมื่อเกมผ่านมาถึงต้นครึ่งหลัง มันไม่เหมือนกับการนำสองประตูในครึ่งแรก แม้จะ 2-0 เหมือนกัน แต่การลงสนามครึ่งหลังมาแล้วบวกสกอร์เพิ่มได้ มันคือการทำลายความมั่นใจของคู่แข่งได้รุนแรงกว่านัก นับจากนั้น ตาวาเรส เหมือนมีแรงฮึดอยากจะเอาคืน อยากแก้ตัว แต่แล้วก็อ่อนแรงลงไปอย่างชัดเจน แววตาตอนกล้องจับภาพให้เห็น ไม่เหมือนเดิมไปเลย ในขณะที่ คีแรน เทียร์นีย์ แบ็คซ้ายตัวจริง หายเจ็บกลับมานั่งอยู่ข้างสนามวันนี้ตลอด 90 นาที แต่ อาร์เตต้า เลือกให้ใจเด็กที่กำลังเล่นดี แต่สุดท้ายกลายเป็นเด็กเล่นพลาด เสียกำลังใจแน่นอน แต่นี่คือบทเรียนที่เขาจะไม่ยอมพลาดอีก…เพราะถ้ายังก่อความผิดพลาดแบบนี้อีกเขาอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วก็เป็นได้
การเสียประตูที่สองแบบนี้ มันมีผลมากสำหรับในแง่กำลังใจ เพราะแม้ว่าทีมจะพยายามสู้ต่อ แต่ระยะห่างที่มันห่างอยู่แล้วในเรื่องของคุณภาพเกม มันยิ่งห่างไกลออกไปด้วยจำนวนสกอร์ที่มากขึ้น การเปลี่ยนตัวของ มิเคล อาร์เตต้า ก็ยิ่งทำให้เห็นว่า เขาไม่ได้มีแผนสำรองใด ๆ ในเกมนี้เลย
สามตัวสำรองที่ใช้ถูกใช้หลังจากทีมโดนนำ 2 ประตูไปสองคน ไอน์สลีย์ เมดแลนด์-ไนลส์ และ มาร์ติน เออเดการ์ด ลงสนามมาแทนที่ของ โลกอนก้า และ ลากาแซตต์ มันคือการเปลี่ยนแบบตำแหน่งต่อตำแหน่ง ไมได้เปลี่ยนในเรื่องของแทคติกการเล่นอะไรเลย จำนวนผู้เล่นในเกมรุก การเล่นเกมรับ แทบจะเหมือนเดิม 100 % คนที่ลงสนามไปอย่าง ไนลส์ อาการหนักกว่า โลกอนก้า ด้วยซ้ำ ได้บอลมาออกบอลต่อยังแทบไม่ได้ เพราะเกมขาดใจนักเตะน่อลก็ยิ่งแผ่ว เออเดการ์ด ลงมาเล่นตัวรุก ณ เวลานั้น อาร์เซนอล แทบบุกไม่ขึ้นอยู่แล้ว เปลี่ยนลงมาแทบไม่ได้ช่วยอะไรมาก ยิ่งสำรองคนสุดท้ายคือการถอด ปาเตย์ ออกมา ส่ง โมฮัมเหม็ด เอลเนนี่ ลงไปก็คือการยอมรับความพ่ายแพ้เรียบร้อย เหมือนใช้โควตาให้ครบ เซฟร่างกายของ ปาเตย์ไปเล่นในเกมต่อไปเท่านั้น
การเสียประตูที่สาม คือการตอกย้ำว่า อาร์เซนอล สู้ไม่ได้ 100 % จากการเล่นเกมบุกที่หวังผลได้อีกรูปแบบของลิเวอร์พูล นั่นคือการหวังผลจากการเปิดบอลยาวของ อลิสซอน ลูกแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำได้ และเล่นเพียง 3-4 จังหวะนับจากเตะเปิดเกมออกมาจบด้วยประตูของ ซาลาห์ ลูกแบบนี้คือการเสียประตู และการเข้าทำแบบพื้นฐานที่สุดของฟุตบอลแบบหนึ่ง แต่ยิ่งพื้นฐานเท่าไร แต่ดันสามารถทำได้จริงในสนามแข่ง นั่นคือคุณภาพของทีมรุก และความผิดพลาดในเกมรับยิ่งชัดเจน
อาร์เซนอลสู้เพียง 75 นาทีเท่านั้นในเกมนี้…ส่วนที่เหลือคือการเล่นให้หมดเวลา แถม อาร์เซนอล ยังถอดใจง่ายไปช่วงท้าย กับการเสียประตูที่สี่ ที่แนวรับอ่อนล้าจากการโดนนวดทั้งเกม ใจเริ่มไม่สั่งให้สู้แล้ว ประตูที่สี่จึงเกิดขึ้น หากมองจากมุมมองแฟนบอลคนหนึ่ง ประตูสุดท้ายในเกมนี้ น่าตำหนิที่สุด เพราะมันเหมือน โรยไอซิ่งบนเค้กฉลองที่ทำให้ชัยชนะของ ลิเวอร์พูล สวยงามหรูหรากว่าเดิม
อาร์เซนอล แพ้ยับในเกมนี้ ด้วยหลายปัจจัยที่เกิดขึ้น แพ้ทั้งคุณภาพผู้เล่น ประสบการณ์ของโค้ขในการแก้เกม ไปจนถึงเรื่องของแท็คติกการเล่นที่ผ่านการเคี่ยวมาอย่างหนักตลอด 5-6 ปีที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ สร้างทีมชุดนี้ขึ้นมา ยืนยันชัดเจนว่า คุณจะมีนักเตะเก่งแค่ไหนก็ตาม แต่หากนักเตะไม่เข้าใจระบบการเล่นของทีมอย่างถ่องแท้ ผ่านการสอนแท็คติกโดยโค้ชแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้
มันไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรที่ อาร์เซนอล จะแพ้ในเกมนี้ มันน่าอายตรงที่ปล่อยให้ความผิดพลาดจากอาร์เซนอลเองแทบทั้งสิ้น 3 จาก 4 ประตู ที่เกิดขึ้นทีมพลาดเองทั้งหมด นั่นหมายความว่า ทีมยังดีไม่พอ และต้องกลับไปแก้ไขในเกมต่อไป ลิเวอร์พูล ณ เวลานี้ คือหนึ่งทีมที่ดีที่สุดในลีก เคียงข้าง เชลซี และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทั้งสามทีมที่มีจุดร่วมเหมือนกันคือ
นั่นคือเหตุผลหลักที่ทำไมสามสโมสรนี้ ถึงเป็น “Top 3” ของพรีเมียร์ ลีก ในช่วงทศวรรษที่ 20 แห่งศตวรรษที่ 20 นี้ ส่วนที่เหลือตามหลังสามทีมนี้ทั้งหมด อาร์เซนอล ก็เช่นเดียวกัน
อาร์เซนอล มีแผนงานที่ชัดเจน พวกเขาเลือกลงทุนกับ โค้ชหนุ่ม ประสบการณ์ 0 นาที ในการคุมทีมชุดใหญ่ ก่อนจะมาทำงานที่ อาร์เซนอล เช่นเดียวกับแผนงานที่พวกเขามองถึงการสร้างทีมในระยะกลางถึงระยะยาว ด้วยการเสริมทีมด้วยนักเตะ อายุน้อย รวมกันมาเป็นกลุ่มนักเตะที่จะโตไปในสโมสร และมีเป้าหมายเดียวกัน แน่นอนมันคือแนวทางที่ อาร์เซนอล สื่ออกมาจากการซื้อขายในตลาดสิงหาคมที่ผ่านมา และการแจ้งเกิดขึ้นมาของ เอมิล สมิธ โรว์ และ บูคาโย่ ซาก้า
“Trust the Process” เป็นหนึ่งในคำพูดที่ อาร์เซนอล มักใช้ในการพูดถึงเรื่องนี้ ทีมต้องการเวลาในการสร้างทีมขึ้นมา ซึ่งผ่านมาถึงตรงนี้อีกหนึ่งเดือน อาร์เตต้า จะเข้ามารับงานทีมนี้ 2 ปีเต็ม (21 ธันวาคม 2019 รับงาน คุมทีมจริง 26 ธันวาคม 2019) ทีมเริ่มมีอะไรที่ชัดเจนมากกว่าฤดูกาลที่แล้ว แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ต้องแก้ไข การเล่นเกมรุกที่ยิงได้น้อย กองกลางที่คุณภาพของนักเตะยังดีไม่พอในการสู้กับทีมลุ้นแชมป์ลีกโดยตรง วันนี้ที่พ่ายแพ้ อาร์เซนอล และ อาร์เตต้า ได้ทั้งความเจ็บปวด และบทเรียนไปเพียบ ที่เหลือคือจะนำสิ่งที่ผิดพลาดไปสอนลูกทีมอย่างไรให้ไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกในครั้งต่อไป
จากวันที่แพ้สามเกมรวด ตกอยู่ในอันดับที่ 20 ของตาราง “0 ประตูยิงได้ 0 คะแนน” มาวันนี้เกือบสามเดือน ทีมเพิ่งแพ้เกมแรกในรอบ 11 เกมในทุกรายการ นั่นคือข้อเท็จจริง ที่ต้องให้เครดิตกับทีมชุดนี้ว่า พวกเขาก็มีดี และพยายามกันอย่างหนักมาตลอดสามเดือนที่ผ่านมา แต่มันยังไม่มากพอจะเจอกับของจริงในลีก
เป้าหมายของ อาร์เซนอล ยังคงชัดเจนอยู่ในสถานการณ์ลุ้นเต็มตัวกับการติดอันดับ 4 เพื่อกลับไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า ไปจนถึงบอลถ้วยอีกสองรายการในประเทศที่ยังอยู่ในเส้นทางทั้งหมด ความพ่ายแพ้ในวันนี้ ยังไม่ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป แค่ระยะห่างมันกว้างกว่าเดิมจากที่ผ่านมาเท่านั้น
อยู่ที่ว่านับจากวันนี้ อาร์เซนอล จะมองความพ่ายแพ้นี้อย่างไร จะนอนจมความทรมาน รอให้ใครมาปลอบใจ หรือจะลุกให้เร็วทำงานให้หนัก และกลับมาให้ได้ในเกมต่อไปที่จะเล่นกับ นิวคาสเซิ่ล ในบ้านของตนเอง…ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการกลับมาให้ไวที่สุด
ในแง่ของทีมบริหารไม่มีอะไรจะดีไปกว่า ตลาดการซื้อขายมกราคมนี้ จะยังคงสนับสนุนงบประมาณในการทำทีมต่อไปเหมือนในตลาดรอบที่แล้ว หากเป้าหมายยังคงเหมือนเดิม การเสริมทีมก็ควรเหมือนเดิมเช่นกัน จำนวนเงินลงทุน จำนวนผู้เล่นที่เข้ามา ไม่ได้สำคัญเท่ากับการทำให้แฟนบอลได้เห็นว่า บอร์ดบริหารชุดนี้ เอาจริงเอาจังและ “ต่อเนื่อง”แค่ไหนกับการพาทีมไปข้างหน้า ไม่ใช่มาแต่น้ำลายเพียงอย่างเดียว
พรีเมียร์ ลีกเพิ่งผ่านมา 12 เกมเท่านั้น ยังมีอีกหลายสิบเกมให้ต้องเจอทั้ง ช่วงเวลาที่ดี และแย่อีกอย่างแน่นอน วันที่ดีอะไรก็สวยงาม ไม่มีอะไรน่าห่วง วันที่แย่ต่างหาก จะพิสูจน์ทีม และแฟนบอลของทีมว่า เรายังคงเชื่อมั่นในทีม และนักเตะทีมเชื่อมั่นในทีมหรือเปล่า ว่าสิ่งที่ทีมกำลังทำกันอยู่มันคือสิ่งที่จะพาทีมประสบความสำเร็จได้อนาคต
อาร์เซนอลทีมนี้กำลังเติบโต เรียนรู้ ไปด้วยกัน แต่จะเชื่อมโยงพวกเขาให้อยู่ด้วยกันนานแค่ไหน ความสำเร็จเท่านั้นจะเป็นคำตอบ แต่ ณ เวลานี้ พวกเขายังต้องทำงานหนักอีกเยอะ ก่อนจะคิดถึงความสำเร็จในฤดูกาลนี้