โรเบร์โต้ เดอ เซอบี้ (43 ปี สัญญาถึงกลางปี 2026) กลายเป็น “อิตาเลี่ยน” คนแรกของสโมสรไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ที่ได้รับงานคุมทีมแห่งนี้ ในเมืองที่บรรยากาศล้อมรอบด้วยทะเล บรรยากาศสุดชิคกับเทศกาลต่าง ๆ มากมายตลอดปี แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญสำหรับเขา
“ฟุตบอลไม่ใช่แค่งาน แต่มันคือการทุ่มเททุกอย่างลงไป นอกเหนือจากนั้นไม่ได้ใส่ใจเท่าไร สมาธิของผมคือทีมงาน, นักเตะ และการแข่งขัน”
“การเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์” เป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่พ้น ในวงการฟุตบอลมันเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ และ ไบร์ทตัน ต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ เกรแฮม พอตเตอร์ ผู้จัดการทีมคนเก่งของพวกเขาถูกทาบทามโดยสโมสรใหญ่อย่างเชลซี กับข้อเสนองานคุมทีมที่เขาเลือกจะไปรับความท้าทายใหม่ที่นั่น ในช่วงเวลาที่ ไบร์ทตัน ของเขากำลังถูกประเมินจากแฟนบอลทั่วไปว่า “ไม่ธรรมดา” กับผลงานที่ยอดเยี่ยม และนักเตะในทีมที่ไม่มีสตาร์แต่ผลงานเข้าตาเสียเหลือเกิน แน่นอน ไบร์ทตัน ไม่อยากเสียเขาไป แม้จะได้ค่าชดเชยจำนวนไม่น้อย แต่ในเมื่อคนจะไปรั้งไปก็ยากยิ่ง การเสาะหาบุคคลที่มาทดแทนเป็นทางเลือกที่ต้องทำและนั่นคือจุดเริ่มต้นของการพบกันระหว่างสโมสร และ เดอ เซอบี้
เดอ เซอบี้ ผ่านชีวิตการเป็นนักเตะอาชีพมาก่อน เขาเป็นนักเตะเยาวชนของ เอซี มิลาน แต่ก็แน่นอน ถ้าคุณไม่คุ้นชื่อเขาในทีมรอสโซเนรี่นั่นหมายความว่า เขาไม่ได้รับการผลักดันขึ้นมาเล่นในทีมใหญ่ของมิลาน และชีวิตของเขาในวัยรุ่นย้ายทีมเป็นว่าเล่น กับการย้ายทีมไปมากกว่า 10 สโมสรในระดับล่างบ้าง ลีกสูงสุดบ้าง และเคยเดินทางไกลไปเล่นฟุตบอลในโรมาเนียก็ลองมาแล้ว จนกระทั่งสุดท้ายเขาเลิกเล่นฟุตบอลในปี 2013 ตอนอายุ 34 ปี และก็เข้าสู่การเรียนรู้งานด้านโค้ชทันที โดยมีช่วงเวลาล้มลุกคลุกคลานกับหลายสโมสร จนมาเห็นชื่อของเขากับการรับงาน ซาซูโอโล่ ในช่วงปี 2018-2021 ที่เด่นชัดว่าเขาคือผู้จัดการทีมที่ดีคนหนึ่ง เมื่อทำทีมรักษามาตรฐานการอยู่รอดได้อย่างสบาย
แถมยังจบด้วยอันดับตัวเลขหลักเดียวมาถึงสองสมัย และนั่นทำให้เขาได้ออกไปลุยงานใหญ่กับ ชัคตาร์ โดเนสท์ คุมทีมลงเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรกในชีวิต และมันควรเป็นช่วงเวลาที่ดีของเขา ถ้า “สงคราม” ไม่เกิดขึ้น และทำให้ฟุตบอลยูเครนต้องหยุดชะงัก ขณะที่ตัวเขาก็ไม่ต้องการอยู่กับทีมอีกต่อไปในสภาวะสงคราม การออกจากทีมจึงเกิดขึ้นหลังจากที่นักเตะต่างชาติของทีมที่ปรารถนาจะออกจากยูเครนออกไปจนหมดแล้ว เขาต้องการให้มั่นใจว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก่อนจะยุติบทบาทงานที่นั่น ในวันที่ชัคตาร์ โดเนสท์ คือจ่าฝูงของลีกที่หากแข่งต่อจนจบพวกเขาจะกลายเป็นแชมป์ลีก เป็นความสำเร็จแรกของเขาที่มันไม่เกิดขึ้นเพราะสงคราม
ด้วยวัยเพียง 43 ปี เดอ เซอบี้ นับว่าหนุ่มมากในวงการนี้ และด้วยผลงาน 4 ปีหลังสุดของเขา โปรไฟล์น่าสนใจ และทำให้ไบร์ทตัน เดินเรื่องทาบทามเขาทันที
“ไบร์ทตันติดต่อเข้ามาผ่านทางเอเยนต์ของผม และเอเยนต์มาบอกผมว่า ไบร์ทตัน สนใจอยากเจรจาเรื่องงานกับผม แต่พวกเขาอยากเจอกับตัวผมก่อน เรามีนัดกันในลอนดอน มันเป็นการเจรจาที่ได้ทั้งพูด และได้ฟังในข้อเสนอ และแนวคิดของทั้งสองฝ่าย ซึ่งสำหรับผมมันน่าพอใจมากที่จะได้ทำงานด้วยกัน ผมมองทีมเป็นทีมที่จริงจัง มีผู้เล่นที่ดีมากอยู่ในทีม และมันคือโอกาสในการทำงานของผมได้มากกว่าเดิม แต่สำหรับไบร์ทตัน พวกเขาขอเวลาสักเล็กน้อยในการตัดสินใจ ก่อนที่ 2-3 วันผ่านไป พวกเขาติดต่อกลับมาพร้อมกับคุยเรื่องการเซ็นสัญญารับงาน”
ตามรายงานจากสื่อมีการเปิดเผยว่า เดอ เซอบี้ ตัดสินใจปัดข้อเสนอของ โบโลญญ่า ทีมในบ้านเกิด และก่อนการเซ็นสัญญา 4 ปีรับงานนี้ เขาได้มีการพูดคุยกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เกี่ยวกับการรับงานนี้ โดย เดอ เซอบี้ ยกย่องให้เป๊ปเป็นผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดในรอบ 30 ปี แต่สำหรับเขาแล้ว โค้ชที่เขายกย่อง และมองเป็นตัวอย่างในการทำงานคือ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า อดีตผู้จัดการทีมลีดส์ ยูไนเต็ด ซึ่งเขาเคยได้ไปดูการทำงานของบิเอลซ่าเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์สมัยที่คุมทีมลีลล์ในปี 2017 และกลายเป็นหนึ่งในต้นแบบสำคัญของเขาในการทำงานเสมอมา
การรับงานกลางทาง ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม ไม่เคยมีอะไรที่ง่ายเลย คุณไม่ได้เตรียมแผนงานมาตั้งแต่ต้น ไม่มีเวลาลองผิดลองถูกอะไรมากนัก สิ่งที่ทำได้คือ ทดลองไปด้วยลงแข่งไปด้วย และเรียนรู้งานให้เร็วที่สุด ซึ่งทุกอย่างจะดีขึ้นได้แน่ ถ้าเขาสามารถซื้อใจผู้เล่นในทีมให้มาสร้างทีมด้วยกันใหม่กับเขา โดยหลังจากที่ต้องรอชัยชนะมาถึง 5 เกม เกมที่ 6 ของเขาในการคุมทีมก็สมหวัง และมันเกิดจากการพบกับ เชลซี ของ เกรแฮม พอตเตอร์ คนที่เขามาแทนที่ แถมยังเป็นชัยชนะท่วมท้นถึง 4-1 ตามด้วยชัยชนะเหนือวูลฟ์สในเกมต่อมา แม้ว่าก่อนเบรคเข้าสู่ฟุตบอลโลก ทีมจะกลับมาแพ้อีกครั้ง แต่ก็ได้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นของทีม
“ผมคิดว่าความสุขมันเป็นสิ่งที่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของผลงานที่ดี ทุกคนคงไม่สามารถมีมันได้หรอก ถ้าผมยังได้นั่งคุมทีมแล้วผลงานออกมาแย่ ผมอยากทำทีมในแบบที่ตัวเองต้องการแต่ แน่นอนมันต้องเวิร์คด้วย ไม่อย่างนั้นทำไปมันก็ไม่มีประโยชน์ ทีมยังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และยังต้องต่อสู้อีกเยอะ แต่ผมคิดว่าจุดแรกที่สำคัญมากเลยคือ ทัศนคติ ถ้าคุณมองอะไรในแง่ลบมากเกินไป มันก็ยากกับการทำงาน”
“ผมไม่ได้มาบอกว่าผมดีกว่า เกรแฮม พอตเตอร์ ในการทำทีมนี้ ทุกอย่างมันมีแง่ดีและร้ายขึ้นกับมุมมอง ตอนผมมาที่นี่วันแรก ผมทึ่ง และเคารพกับสิ่งที่เขาทำไว้กับทีม และแน่นอนผมได้ประโยชน์ไม่น้อยจากสิ่งที่เขาหลงเหลือไว้ตอนเขาออกจากทีมไป”
“การทำทีมของผมจึงเริ่มต้นจากการไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากนักทั้งในแง่ของแท็คติกของทีม รวมถึงผู้เล่นด้วย หลังจากอยู่กับทีมไปสักระยะผมจึงเริ่มใส่แนวคิดของผมลงไป และผมชัดเจนตั้งแต่แรกกับผู้เล่นว่า ผมไม่ใช่ เกรแฮม พอตเตอร์ ผมมีแนวทางการทำงานของผม บางสิ่งบางอย่างต้องมีการปรับเปลี่ยน บางอย่างก็ยังคงอยู่ และมันจะมีอะไรมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อการพัฒนาทีม แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้ดีในจุดที่น่าพอใจ เครดิตส่วนหนึ่งก็มาจากการทำงานของพอตเตอร์ด้วย นั่นคือสิ่งที่ผมต้องขอบคุณเขา”
“แฟนบอลอาจจะหวังว่าทีมจะได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรปปีหน้าจากอันดับของทีมในเวลานี้ แน่นอน มันเป็นสิทธิ์ของพวกเขาที่จะฝันถึง การที่จะตั้งเป้าหมายเอาไว้สูง มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย”
ไบร์ทตัน ในประวัติศาสตร์ของพวกเขายังไม่เคยสัมผัสฟุตบอลยุโรปแม้แต่ครั้งเดียว และมันคงเป็นความฝันที่พอจะเห็นความเป็นจริงอยู่ไม่มากก็น้อย ที่เมื่อหลังจบฟุตบอลโลก 2022 คงได้รู้กันว่า “นกนางนวล” ตัวนี้จะบินได้สูงขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาหรือไม่