จบดีลที่รอคอยกันมายาวนานอีกดีล สำหรับเจ้าของหมายเลข 4 คนใหม่ของ อาร์เซนอล เบน ไวท์ (23 ปี สัญญาถึง 2026) เซ็นสัญญา 5 ปี ร่วมงานกับ อาร์เซนอล เรียบร้อย
นับเป็นก้าวกระโดดที่ไกลที่สุด หากมองจากจุดเริ่มต้นของเด็กเยาวชน เซาธ์แธมป์ตัน ที่ถูกประเมินว่าดีไม่พอกับทีม ทำให้เขาได้รับการชักชวนจาก ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ย้ายมาเข้าทีมเยาวชน ในปี 2014 ตอนนั้น ไวท์ อายุเพียง 16 ปี
ระหว่างทางแห่งการพัฒนาตนเอง ไวท์ ผ่านการเล่นแบบยืมตัว สี่ฤดูกาล สี่ลีก ทั้ง นิวพอร์ท เคาน์ตี้ (ลีก ทู), ปีเตอร์โบโร่ ยูไนเต็ด (ลีก วัน) และ ลีดส์ ยูไนเต็ด (เดอะ แชมเปี้ยนชิพ) ก่อนย้ายกลับมาเล่นที่ ไบร์ทตัน ซึ่งเวลานั้นคือทีมในระดับพรีเมียร์ ลีก เรียกว่า เส้นทางของเขาไต่ระดับการเล่นมาแบบปีต่อปีกันเลย โดยในฤดูกาลล่าสุด ที่เปิดตัวเขาใน พรีเมียร์ ลีก เขาลงเล่นไป 39 เกม ในทุกรายการ
ในส่วนต่อจากนี้คือ ข้อมูลที่น่าสนใจจาก ดิแอตเลติก บางส่วน รวมกับข้อมูลของผู้เขียนที่เขียนขึ้น ซึ่งเป็นการระบุว่า อาร์เซนอล ไม่ได้สนใจ ไวท์ เพียงแค่ไม่นาน แล้วยื่นข้อเสนอให้ โดยเริ่มต้นจากการดูฟอร์มในช่วงที่ นักเตะ ลงเล่นกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด จนมาถึง ไบร์ทตัน เป็นเวลามากกว่าหนึ่งปี
อาร์เซนอล ตัดสินใจยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการให้กับ ไบร์ทตัน ซึ่งมี เชลซี แสดงความสนใจเข้ามาด้วย แต่สุดท้ายเป็น อาร์เซนอล ที่จริงจังมากกว่า เมื่อ มิเคล อาร์เตต้า ยืนยันกับ บอร์ดบริหารว่าเขาต้องการ ไวท์ มาเป็นแกนหลักในแนวรับของทีม
ไบร์ทตัน เองมีรายงานว่าพวกเขาแม้ว่าจะขาดทุน แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนต้องขาย นักเตะ ออกจากทีม แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข้อเสนอที่ดีเข้ามาทำให้พวกเขาพอใจแน่นอน พวกเขาก็พร้อมเจรจาด้วย
ไวท์ กับ ไบร์ทตัน เซ็นสัญญาระยะยาวกันจนถึงปี 2024 ซึ่งระยะสัญญายาวพอสมควร แต่นั่นไม่ลำบากเท่ากับการที่ ไวท์ ไม่มีการผูกเงื่อนไขใดเกี่ยวกับจำนวนตัวเลขที่จะทำให้ ไบร์ทตัน ปล่อยเขาออกจากทีม นั่นหมายถึง พวกเขาจะปล่อย นักเตะ ราคาใดก็ตามแต่ตามที่พวกเขาพอใจ และยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเมื่อสุดท้ายแล้ว ไวท์ ติดทีมชาติอังกฤษใน ยูโร 2020 รอบสุดท้าย แม้จะไม่ได้ลงเล่นเลยก็ตาม
ในการสัมภาษณ์ ไวท์ ยอมรับว่าในช่วง ยูโร 2020 เขาก็ได้รับทราบแล้วว่า อาร์เซนอล แสดงความสนใจในตัวเขา แต่ก็เลือกที่จะยังไม่ใส่ใจอะไรมากกว่าการลงเล่นกับทีมชาติอังกฤษ ก่อนที่หลังจบทัวร์นาเมนต์ นักเตะ ก็ออกเดินทางไปพักผ่อนกับเพื่อน
ขณะที่ อาร์เซนอล เดินเกมระหว่างทัวร์นาเมนต์ ด้วยการแจ้ง บูคาโย่ ซาก้า ให้ดูฟอร์มของ ไวท์ ไปด้วยว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่ง ซาก้า ให้คำตอบที่เป็นเชิงบวกกลับมาเสมอ ยิ่งทำให้ความสนใจในตัว นักเตะ มากขึ้นไปอีก
กลางเดือนมิถุนายน หลังจบ ยูโร 2020 ตัวแทนของทั้งสองสโมสรพบหน้ากันเป็นครั้งแรก หลังจากที่มีการเจรจาผ่านทางการสนทนาผ่าน Video Call หลายครั้งก่อนหน้านี้ การเจรจาจบลงด้วยความล้มเหลว เมื่อหาข้อสรุปไม่ได้ แต่ก็มีแนวโน้มที่ดี เพราะ ริชาร์ด การ์ลิค ผู้อำนวยการฟุตบอลของ อาร์เซนอล กับทางตัวแทนผู้บริหารของ ไบร์ทตัน เคยทำงานด้วยกันมาก่อนหน้านี้
อาร์เซนอลยื่นข้อเสนอแรกจำนวน 42 ล้านปอนด์ ก่อนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็โดนปฏิเสธมาโดยตลอด จนกระทั่งครั้งสุดท้าย อาร์เซนอล จบดีลด้วยราคา 50 ล้านปอนด์ + Sell-on Clause หากมีการขายครั้งต่อไป รวมถึงมีการเจรจาที่ระบุถึงช่วงเวลาในการชำระเงิน และจำนวน % หากมีการขายครั้งต่อไป ซึ่งตรงนี้ยังไม่มีรายละเอียดออกมา
ค่าตัว 50 ล้านปอนด์ของ ไวท์ กลายเป็น นักเตะค่าตัวแพงที่สุดของสโมสรไปโดยปริยาย ทำลายสถิติเดิมของ อองโตนี่ น๊อคการ์ท ที่ย้ายไปเล่นกับฟูแล่มที่ราคา 10 ล้านปอนด์ลงอย่างราบคาบ
“เดอะ กันเนอร์ส” ในช่วงสองฤดูกาลหลังสุด พวกเขาจบอันดับด้วยอันดับ 8 เป็นเวลาสองฤดูกาลติดต่อกัน เป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดช่วงหนึ่ง นับจากมี พรีเมียร์ ลีก ในปี 1992 การเข้ามาของ มิเคล อาร์เตต้า ในเดือนธันวาคม 2019 และเขาเริ่มสร้างทีมของตนเอง โดยกองหลังตัวกลาง ในวันที่เขาย้ายมาทำงานที่อาร์เซนอล มีมากถึง 7 คน (โซคราติส, โฮลดิ้ง, แชมเบอร์ส, มุสตาฟี่, ดาวิด ลุยซ์, มาฟโรปานอส และ วิลเลี่ยม ซาลิบา) ก่อนที่เขาจะเซ็นสัญญากับ ปาโบล มารี กองหลังสเปนเข้ามาอีกหนึ่งคนในแบบยืมตัวก่อนซื้อขาด ตามด้วยตลอดฤดูกาล 2020-2021 จะปรับแนวรับอีกครั้งกับการเซ็นสัญญากับ กาเบรียล มากัลเญส พร้อมกับการเคลียร์กองหลังที่ไม่ใช้งาน หรือผลงานไม่ดีออกจากทีม ทั้ง โซคราติส และ มุสตาฟี่ ปล่อยแบบไม่มีค่าตัวออกจากทีมในตลาดรอบเดือนมกราคม / ดาวิด ลุยซ์ ไม่ต่อสัญญาใหม่ หลังจบฤดูกาล และปล่อยยืม วิลเลี่ยม ซาลิบา และ ไดนอส มาฟโรปานอส ซึ่งสองคนหลังก็ยังถูกปล่อยยืมต่อไปในฤดูกาลนี้
ทำให้เวลานี้ก่อนเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ อาร์เซนอล มี นักเตะ ที่เล่นกองหลังตัวกลางได้ 5 คน คือ กองหลังตัวซ้าย 2 คน คือ ปาโบล มารี และ กาเบรียล มากัลเญส และ กองหลังตัวขวาอีกสามคนคือ ร็อบ โฮลดิ้ง, คาลัม แชมเบอร์ส และ เบน ไวท์ โดย แชมเบอร์ส กลายเป็นแบ็คขวาตัวหลักของทีมไปตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว
การเข้ามาของ ไวท์ ผู้ซึ่งจะลงเล่นได้ทั้งกองหลังตัวกลาง และแบ็คขวา จะเป็นการเสริมแนวรับตัวกลางคนสุดท้ายในการซื้อรอบนี้อย่างแน่นอน แต่ในส่วนของการขาย ชื่อของ เซอัด โคลาซินัค และ เฮคตอร์ เบลเลริน ฟูลแบ็คซ้าย และขวาของทีม ยังอยู่ในชื่อการย้ายทีมต่อเนื่อง ในอีก 30 วันสุดท้ายของตลาดการซื้อขายรอบนี้ เช่นเดียวกับชื่อของ ไอน์สลีย์ เมดแลนด์-ไนลส์, อเล็กซองเดน ลากาแซตต์, เอ็ดดี้ เอนเคเธีย รวมถึง รีส เนลสัน และ ลูคัส ตอร์เรียร่า
อาร์เซนอล จบดีลใหญ่ของตนเองเรียบร้อย แต่การซื้อนักเตะใหม่ก็ยังคงดำเนินต่อไป พวกเขายังมีเรื่องให้ต้องแก้ไขอีกมาก ทั้งกองกลางตัวรุก, กองกลางที่มีข่าวการต่อสัญญาใหม่กับ กรานิท ชาก้า หลังจาก การเจรจากับ โรม่า ล้มเหลว เนื่องจากโรม่ายื่นข้อเสนอเข้ามาเพียง 10 ล้านปอนด์เท่านั้น, นายทวารมือสองที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเสริมใครเข้ามาแทนที่ แมตต์ ไรอัน ที่ย้ายออกไปแล้วหลังหมดสัญญายืมตัว และ อาเธอร์ โอควอนโก้ นายทวารดาวรุ่งที่น่าจะเป็นมือสามมากกว่ามือสอง ไปจนถึงในส่วนของ กองหน้า ที่ยังไม่ชัดเจนว่า ลากาแซตต์ และ เอนเคเธีย ซึ่งจะหมดสัญญาในเดือนมิถุนายน 2022 พวกเขาจะอยู่หรือย้ายในตลาดรอบนี้ เพราะถ้าไม่ต่อสัญญาในตลาดรอบนี้ หรือก่อนเข้าตลาดเดือนมกราคม พวกเขาจะไม่มีค่าตัวทันที เช่นเดียวกับ โมฮัมเหม็ด เอลเนนี และ คาลัม แชมเบอร์ส ซึ่งอยู่ในระยะสัญญาแบบเดียวกัน โดยเฉพาะ ลากาแซตต์ หากย้ายทีม อาร์เซนอล คงต้องเข้าสู่ตลาดเพื่อหา หน้าเป้าคนใหม่มาเสริมทีมค่อนข้างแน่นอน
ดูแล้ว อาร์เซนอล เหลืองานให้ทำอีกเพียบ ในขณะที่อีก 14 วันจะเปิดพรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลใหม่กันแล้ว