เรื่องเด่นหลังจบเกมแรก ยูโร 2020

ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับเกมแรกของรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลยูโร 2020 ทั้ง 6 กลุ่ม ที่ปีนี้ต้องบอกว่าลุ้นกันทุกกลุ่ม ทีมเต็งออกสตาร์ทดีตั้งแต่เกมแรก แต่ที่เซอร์ไพรส์มากกว่าคือ ทีมที่ถูกมองว่ามาเพื่อ “แจกแต้ม” กลับทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมหลายทีม วันนี้เรามาสรุปเรื่องน่าสนใจ สำหรับเกมแรกของรอบแบ่งกลุ่มกัน

อิตาลี ตั้งแต่กลับมาเตะกันหลังการระบาดครั้งใหญ่ของ โควิด-19 พวกเขา “แพ้ไม่เป็น” และการเปิดหัวเกมแรกด้วยชัยชนะ 3-0 เหนือตุรกี ทำให้ อิตาลี ไม่แพ้ใคร 14 เกมติดต่อกันในทุกรายการ (ชนะ 11 เสมอ 3) และที่โหดกว่านั้นคือ ทำไปทั้งหมด 37 ประตู เสียแค่ 2 ประตูเท่านั้น ใครว่า อิตาลี ดูแล้วธรรมดา ต้องกลับไปคิดใหม่

อาการวูบของ คริสเตียน อิริคเซ่น ทำให้เกมในกลุ่มบี กลายเป็นดราม่าที่คนทั้งโลก ต่างส่งกำลังใจให้กับเขา เราได้เห็นภาพของ ซิมง เคียร์ แนวรับกัปตันทีม กับ “ภาวะความเป็นผู้นำ” ที่ยอดเยี่ยม ในการช่วยเหลือ ดูแลทุกคนในทีม ไม่เว้นกระทั่งคนรักของเพื่อนร่วมทีม ภาพของ นักเตะ เดนมาร์กที่ล้อมวง พร้อมกับผ้ากั้นที่เป็นธงชาติ ฟินแลนด์ ซึ่งแฟนบอลฟินแลนด์ ส่งลงมาให้ทีมแพทย์ เพื่อบังไม่ให้เห็นการทำงานของทีมแพทย์ในการช่วยเหลือ อิริคเซ่น คือ โมเมนต์ที่งดงาม และมันงดงามที่สุด เมื่อ อิริคเซ่น ปลอดภัยแล้ว ณ เวลานี้

ฟินแลนด์ ประเทศที่ว่ากันว่ามีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก แต่กับเรื่องฟุตบอล นี่คือครั้งแรกของพลพรรค “ฮูกายัค” กับ ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ และมันคงเป็นความทรงจำที่สวยงามตลอดไป กับชัยชนะเหนือ เดนมาร์ก 1-0 ในเกมที่ เดนมาร์ก มีโอกาสยิงมากถึง 21 ครั้ง ส่วน ฟินแลนด์ “โป้งเดียวจอด” กับโอกาสยิงประตูเพียงครั้งเดียวตลอด 90 นาที เป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนว่า ฟุตบอล ครองบอลมากกว่า โอกาสมากกว่า แต่ทำไม่ได้มันก็เท่านั้น

โกรัน ปานเดฟ (37 ปี) หัวหอกจาก เจนัว อาจจะผิดหวังที่ มาซิโดเนียเหนือ ต้องพ่ายแพ้ต่อออสเตรีย แต่ก็กลายเป็น นักเตะ ประวัติศาสตร์ของชาติ เมื่อยิงประตูแรกในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ เป็นคนแรกให้กับบ้านเกิดของเขา ชายผู้เคยคว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์” กับ อินเตอร์ มิลาน ยืนยันตราบใดที่ จานลุยจิ บุฟฟ่อน ยังไม่เลิกเล่น เขาก็จะไม่ยอมเลิกเล่นง่าย ๆ เหมือนกัน

7 ปีที่รอคอยของ เนเธอร์แลนด์ จบลงด้วยชัยชนะ 3-2 ในเกมที่ “ดัตซ์แมน” ลุ้นกันตัวโก่ง ก่อนจะมาได้ชัยในช่วง 5 นาที สุดท้าย แฟรงค์ เดอ บัวร์ นายใหญ่ที่เข้ามาพร้อมคำปรามาสมากมายว่า “มือไม่ถึง” ออกตัวเกมแรกด้วยสามคะแนน และเป็นเกมแห่งความทรงจำของ มาร์เทน สเตเคเลนเบิร์ก (38 ปี 264 วัน) นายทวารเนเธอร์แลนด์ ในฐานะ นักเตะ ที่อายุมากที่สุดที่ลงเล่นในยูโรรอบสุดท้าย

ปาทริค ชีค (25 ปี) ดาวยิงทีมชาติเช็ก มีสองประตูในเกมเอาชนะ สกอตแลนด์ โดยหนึ่งในนั้นคือประตูยิงไกลเกือบครึ่งสนาม ที่มีการวัดมาแล้วว่า ไกลถึง 7 หลา ทำให้ลูกยิงของเขาเป็นประตูที่ยิงไกลที่สุดที่เกิดขึ้นใน ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรอบสุดท้าย

“สิงโตคำราม” ยุติความเลวร้ายกับการลงเล่นใน ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ แล้วไม่ชนะในเกมแรกมาอย่างยาวนาน ในเกมเอาชนะ โครเอเชีย คู่ปรับเก่า 1-0 ท่ามกลางเสียงชื่นชมในตัวของ คัลวิน ฟิลลิปส์ (25 ปี) กองกลางตัวรับของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่มิถุนายนปีก่อนยังเล่นใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อยู่เลย มาวันนี้ตัวหลักทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ไปแล้ว ชีวิตคนมันไม่แน่นอนเสียเหลือเกิน

วอยเช็ค เชสนี่ (31 ปี) คงต้องฝันร้ายแน่นอน เมื่อเขากลายเป็น นักเตะคนแรกที่ทำเข้าประตูตัวเองใน ยูโรรอบสุดท้าย แถมทีมต้องพ่ายแพ้ในเกมกับ สโลวาเกีย อีกด้วย แต่ไม่เป็นไร เพราะวันต่อมา มัทธ์ ฮุมเมิลส์ (32 ปี) แนวรับทีมชาติเยอรมันก็เดินตามรอยเขา กับการทำเข้าประตูตัวเองเช่นกัน

สเปน “ลา โรฆา” ในยุคของ หลุยส์ เอ็นริเก้ เป็นหนึ่งในชาติใหญ่ที่ผลงานไม่ดีเลย เมื่อจบเกมพวกเขาเสมอ สวีเดน แบบไม่มีสกอร์ และยิงเข้ากรอบเพียง 5 ครั้งเท่านั้น และแน่นอนมันมาพร้อมเสียงวิจารณ์ยาวเหยียด “ไหวไหมเก้”

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (36 ปี) กลายเป็น นักเตะ ที่ยิงในยูโรรอบสุดท้าย 5 ทัวร์นาเมนต์ติดต่อกันเป็นคนแรก นับจาก ยูโร 2004 เป็นต้นมา ดาวยิงผู้รักการดื่มน้ำเปล่าเพื่อสุขภาพ ทำไปแล้ว 106 ประตูในนามทีมชาติ จากการลงเล่น 176 เกม และในยูโร เขาทำไปแล้วทั้งหมด 11 ประตู 8 แอตซิสต์ ตลอด 22 เกมที่ลงเล่นในยูโรรอบสุดท้าย

ฝรั่งเศส – เยอรมัน เป็น “บิ๊กแมตซ์” ของเกมแรก จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของ อินทรีเหล็ก และทำให้การพบกัน 6 ครั้งหลังสุด ฝรั่งเศส ไม่แพ้เลย (ชนะ 4 เสมอ 2) ในเกมที่ต้องบอกว่า เกมคุณภาพอย่างแท้จริง ประตูเดียวก็มากพอจะปิดจ๊อบด้วยสามคะแนนของ “แชมป์โลก”