30 มิถุนายน ของทุกปี สำหรับวงการฟุตบอลแล้วจะเป็นวันที่ยากลำบากสำหรับ นักเตะ อาชีพ หลายร้อยคน เพรมันคือวันสุดท้ายสำหรับสัญญานักเตะในแต่ละฤดูกาล
ตามหลักแล้วด้วย กฎบอสแมน จะเอื้อประโยชน์ให้กับ นักเตะ ที่เหลือสัญญาเพียง 6 เดือนสุดท้าย สามารถเจรจาล่วงหน้ากับทีมใดก็ได้แบบไม่มีค่าตัว ยกเว้นในกรณีที่เซ็นสัญญาเพื่อใช้งานทันที ไม่รอหมดสัญญา ทีมที่จะใช้งานต่อก็จะต้องจ่ายค่าตัวที่เหลืออีกประมาณ 5 เดือนให้กับ ต้นสังกัดเดิม แต่ถ้าไม่ก็เซ็นสัญญากันล่วงหน้า และรอหมดสัญญาก็สามารถย้ายทีมได้เลย
สโมสรแทบทุกสโมสรก็จะเร่งต่อสัญญาใหม่กันอย่างหนักหน่วงสำหรับ นักเตะ ที่ตนเองจะเก็บไว้ใช้งาน ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดการซื้อขายเดือนมกราคม เพราะนั่นหมายถึง นักเตะ เซ็นสัญญากับทีมไหนก็ได้แล้วนั่นเอง คนไหนได้ต่อสัญญาใหม่กับทีมเดิมก็มีความสุขกันไป คนไหนไม่ได้ต่อสัญญาใหม่ ก็ต้องรอหาสังกัดใหม่กัน จนกระทั่งถึง 30 มิถุนายน ถ้ายังหาสังกัดใหม่ไม่ได้ ในวงการทำงานก็คือ “ตกงาน”
แดน ครอว์ลีย์ คือหนึ่งในนั้น เขาถูก เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ปล่อยตัวแบบฟรี ๆ หลังจากย้ายไปเล่นกับ ฮัลล์ ซิคี้ ทีมใน ลีกวันในฤดูกาลที่ผ่านมา
แดน ครอวลีย์ (23 ปี) กองกลางดาวรุ่งชาวอังกฤษ ครั้งหนึ่งเคยมีอนาคตที่รุ่งเรืองรอเขาอยู่ เขาเริ่มต้นกับสโมสรท้องถิ่นที่ชื่อว่า ไครส์ เดอะ คิง ก่อนที่จะย้ายมาสู่ แอสตัน วิลล่า ในทีมเยาวชนของ “สิงห์ผงาด” ด้วยอายุเพียง 8 ปี เท่านั้น โดยเขาเลือกปฎิเสธ โคเวนทรี ซิตี้ ที่เป็นเมืองเกิดของเขา เพราะเหตุผลที่ว่า การซ้อมของแอสตัน วิลล่า สนุกกว่า…
การเล่นกับ แอสตัน วิลล่า ทีมเยาวชน ครอว์ลีย์ ผลงานดีมาก มีแววดี ทีมเลยดันขึ้นมาเล่นทีมอายุต่ำกว่า 16 ปี ทั้งที่ตอนนั้นอายุแค่ 12 ปีเท่านั้น ก่อนที่อีกสามปีต่อมา ก้าวไปเล่นในทีมระดับอายุต่ำกว่า 21 ปี เรียกว่าเก่งเกินวัย ดันกันสุดตัว ถึงขนาดที่ว่า ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน นักเตะ เยาวชนที่ดีที่สุดของทีมในรอบหลายปี ต่อจาก แจ็ค กรีลิช กันเลย
ปี 2013 แดน ครอว์ลีย์ ยิ่งดังมากกว่าเดิมเมื่อ อาร์แซน เวนเกอร์ แห่งอาร์เซนอล ตามไปดูฟอร์มของเขาในเกมที่ อาร์เซนอล พบกับ แอสตัน วิลล่า เล่นกันในระดับทีมเยาวชน และชอบผลงานของเด็กที่เล่นแบกอายุข้ามรุ่นคนนี้ และตัดสินใจขอทำการดึงตัว นักเตะ มาเล่นที่ ลอนดอน โดยตามข้อมูล อาร์เซนอล จ่ายเงินจำนวน 200,000 ปอนด์ ให้กับ แอสตัน วิลล่า เพื่อนำมาพัฒนาความสามารถต่อด้วยตนเอง ส่วนตัว นักเตะ กลายเป็น นักเตะ ทีมชาติอังกฤษชุดอายุต่ำกว่า 17 ปี
ปลายปี 2013 ในช่วงที่ทีมชาติอังกฤษ มีคิวลงเล่นกับ เยอรมัน พวกเขาเลือกใช้สนามซ้อมของ อาร์เซนอล ในการเตรียมทีม ปรากฎภาพของ รอย ฮอดจ์สัน ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ พูดคุยกับ นักเตะ แถมยังมีการพูดคุยสอบถาม อาร์แซน เวนเกอร์ เกี่ยวกับความสามารถของเด็กคนนี้ด้วย เรียกว่าช่วงนั้นเด็กคนนี้ อนาคตสดใสมาก เพราะอีกสองปีต่อมา ครอวลีย์ วัย 18 ปี ได้รับการเรียกตัวติดทีมในช่วง Pre-season ไปทัวร์ที่ประเทศสิงคโปร์ด้วย ใครต่างก็คิดว่าอีกไม่นานจะได้เห็นเขาในทีมชุดใหญ่ของอาร์เซนอลแน่นอน แต่มันกลับไม่เคยเกิดขึ้นเลย
เขาลงเล่นในทีมเยาวชนอาร์เซนอลในระดับอายุต่ำกว่า 18 ปี, ต่ำกว่า 19 ปี และต่ำกว่า 23 ปี ของอาร์เซนอล โดยที่ในช่วงปี 2015-2017 เขาย้ายไปเล่นแบบยืมตัวทั้งกับ บาร์นสลีย์, อ๊อกฟอร์ด และ โก อเฮด อีเกิ้ลส์ ในเนเธอร์แลนด์ แต่ทั้งหมด นอกจากจะไม่มีการขอซื้อตัวเขาแล้ว ยังมีเสียงวิจารณ์บางอย่างติดตามออกมาด้วย
“เขาเก่งนะ เป็นนักเตะที่มีศักยภาพมากเลย อายุแค่นี้ ผมว่าเขาเก่งสุดๆ คนหนึ่งแบบที่ผมเคยเห็นมา แต่สำคัญที่สุดคือ ผมคิดว่าเขายังมีช่องว่างระหว่างคำว่า ความหยิ่งยโส และความเชื่อมั่นในตัวเอง” ลี จอห์นสัน ผู้จัดการทีม บาร์นสลีย์ ในปี 2016 กล่าว
ต่อมาการไปเล่นกับ “หัวกระทิง” อ๊อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด เขาได้สัญญาหนึ่งปีในแบบยืมตัว แต่แล้วครึ่งปีเท่านั้น อ๊อกซ์ฟอร์ด ก็แจ้งกลับมาที่ อาร์เซนอล ว่าขอยกเลิกสัญญายืมตัว ท่ามกลางความสงสัยของแฟนบอลทั้งสองทีม เพราะ นักเตะ ก็มีผลงานที่ดีพอสมควรกับการเล่น 11 เกม ทำไป 3 ประตูให้กับทีม จนกระทั่ง ไมเคิ่ล แอปเปิ้ลตัน นายใหญ่ของทีมอ๊อกซ์ฟอร์ด ออกมาเฉลยในเรื่องนี้ในเวลาต่อมา
“ผมคงไม่สบายใจจนนอนไม่หลับแน่ หาก อาร์เซนอล ไม่เข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของเรา สิ่งหนึ่งที่เราเป็น และเป็นมาเสมอคือเรื่องของความเป็นมืออาชีพ และไม่มีใครจะมาแตกแถวกับสิ่งที่เราทำ มันเป็นเหมือนวัฒนธรรมของทีมเรา ผมเคยบอกเกี่ยวกับเรื่องของ แดน ครอว์ลีย์ไปบ้างแล้ว เกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตทั้งใน และนอกสนามของเขา เขาอายุแค่ 19 ปี เขาความสามารถเพียบพร้อม แต่เรื่องความเป็นมืออาชีพของเขา มันบั่นทอนตัวเขาเอง ผมทราบมาว่าเขามีปัญหานี้ทั้งกับ อาร์เซนอล ทั้งกับ บาร์นสลีย์ และมันควรเป็นบทเรียนสำหรับเขา แต่มันก็ยังเกิดขึ้นที่นี่ และเมื่อบางครั้งมีคนออกจากแถวในเส้นที่เราขีดไว้ เราก็ต้องปล่อยให้เขาออกไป”
ชีวิตของเขายังต้องเดินหน้าไปต่อ ชื่อเสียงเกี่ยวกับปัญหาของเขา เริ่มทำให้เขาไม่มีที่ไปในอังกฤษ ขณะที่ อาร์เซนอล ก็ไม่ชอบใจเท่าไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น กับ ทัศนคติ ของเขา สุดท้ายแล้ว เขาได้รับข้อเสนอจากสโมสร โก อเฮด อีเกิ้ลส์ สโมสรในประเทศ เนเธอร์แลนด์ และคราวนี้เขาเปิดปากวิจารณ์บอลอังกฤษ ด้วยการระบุว่า บอลสไตล์ยุโรปพัฒนาเรื่องของ เทคนิค และ แท็คติก ได้ดีกว่าการเล่นบอลในลีก วัน อังกฤษ ที่เอาแต่เล่นบอลโยนยาวเสียมาก สุดท้ายทีมของเขาตกชั้น เขาลงเล่นไป 16 เกม โดยที่เป็นสำรองไปเสีย 15 แต่ก็ยืนยันว่าสนุกมากกับการเล่นที่เนเธอร์แลนด์ (มากกว่าในอังกฤษ)
“ผมไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก ในการย้ายมาเล่นใน เนเธอร์แลนด์ ชื่อเสียงของผมในแง่ลบมันมีอยู่ในอังกฤษ มันก็แฟร์ดีที่ผมโดนแบบนั้น ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ผมคือเด็กในโลกของผู้ใหญ่ และมันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เพราะผมคิดว่าตัวเองมีศักยภาพพร้อมในการเล่นฟุตบอล แต่ไม่ได้หมายความว่า วุฒิภาวะของผมมันจะพร้อมด้วยเสียหน่อย และเรื่องนั้นหลายคนอาจจะมองข้ามกันไป และมันโหดร้ายกับผมมาก”
ผ่านไป 4 ปี นับจากย้ายมายัง อาร์เซนอล สุดท้าย หลังจากเรื่องมากมายตลอด 4 ปี เขาไม่เคยได้เฉียดกรายเป็น นักเตะ ทีมชุดใหญ่ของ อาร์เซนอล เลย จนกระทั่งหมดสัญญาเขาก็เลือกจะลงเล่นใน เนเธอร์แลนด์ ต่อไป ด้วยการเซ็นสัญญากับ วิลเล่ม ทเว ด้วยสัญญาสามปี
“ผมเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ผมไม่พร้อมสำหรับมัน อีกอย่างการเล่นกับ อาร์เซนอล เป็นแนวทางการเล่นที่มีไม่กี่ทีมเล่น และผมคิดว่ามันก็เกิดปัญหาเหมือนกัน พวกเขาไม่ได้สอนผมเกี่ยวกับการยืมไปเล่นในลีกล่าง การที่คุณอยู่กับ อาร์เซนอล ที่มีดาวดังเต็มทีม ไปเล่นในลีกวัน มันเป็นอะไรที่แตกต่างกันมาก”
“นั่นคือสิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับระบบเยาวชนในอังกฤษ มันไม่มีที่ว่างสำหรับทีมชุดใหญ่ให้กับดาวรุ่ง เพราะพวกเขามีเป้าหมายคือชัยชนะ และก็ไม่ได้มีเวลามากพอจะมาใส่ใจทีมเยาวชนมากนัก ดังนั้นมันจึงมีนักเตะหลายคนเลือกย้ายมาเล่นในยุโรปทั้งใน เนเธอร์แลนด์ และ เยอรมัน เพราะพวกเขาจะได้เวลาในการลงเล่นมากกว่า”
เขาเริ่มต้นได้ดีด้วยการลงเล่นตัวจริงตั้งแต่เกมเปิดสนาม แต่พอเล่นไปสักระยะหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ลงเล่นเนื่องจากทีมเปลี่ยยแผนการเล่น จนเขาแสดงความไม่พอใจออกมา และนั่นทำให้เขาโดนลงโทษด้านวินัย ซึ่ง ครอว์ลีย์ ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เขาขอย้ายออกจากทีมเพื่อหาโอกาสลงเล่น โดยย้ายไปเล่นกับ คัมบูร์ สโมสรใน เอสเต้เดวิซี่ หรือลีกสองของ เนเธอร์แลนด์ ในแบบที่ยอมลดค่าเหนื่อย แม้ว่าจะได้ลงเล่นค่อนข้างเยอะสมใจ แต่เขาก็ยังมีปัญหาเรื่องวินัย จากการระบุว่าเขาจำสลับวันเวลาลงแข่ง จนทำให้มารายงานตัวกับทีมสาย ท่ามกลางเสียงชื่นชมจากทีมในผลงาน ที่สวนทางกับการทำงานของเขา
“คนอื่นเขาคงไม่ค่อยทำกันหรอกลดค่าเหนื่อย แต่ผมทำเพราะผมอยากเล่น ผมไม่อยากนั่งสำรองเสียเวลา แม้ว่าจะเป็นลีกรอง ผมไม่อยากเล่นหรอก แต่ผมมันก็น้อยกว่าการไม่ได้ลงเล่น ผมไปที่นั่นเพื่อโอกาส และพอไปที่นั่นผมก็มีความสุข ผมได้เล่นผมก็มีความสุข”
เขากลับมาที่ วิลเล่ม ทเว ในปีต่อมา คราวนี้โค้ชคนใหม่ของทีมก็ให้โอกาสเขาอีกครั้ง และเขาก็ทำผลงานได้ดี และเป็นครั้งแรกที่เขาลงเล่นมากเกิน 30 เกมในลีกอาชีพต่อฤดูกาล มีส่วนช่วยให้ วิลเล่ม ทเว เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เคเอนวีบี คัพ แต่สุดท้ายก็พ่ายให้กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ไปแบบหมดสภาพ 4-0 ท่ามกลางความผิดหวังของเขาที่เกมนั้นลงเล่นเป็นตัวสำรอง เขาตัดสินใจขอย้ายทีมทันที
“การย้ายมาเล่นในเนเธอร์แลนด์ มันทำให้ผมโตขึ้นมาก ผมไม่คิดว่าผมเจอปัญหาอะไรนะ ไม่มีสื่อมาไล่ตามข่าวเกี่ยวกับผม เหมือนที่ผมเจอในอังกฤษ คนคอยมาตั้งคำถามเกี่ยวกับทัศนคติ หรือวุฒิภาวะของผม แต่การย้ายมาที่นี่ มันทำให้ผมได้บอกกับคนอื่นได้ว่า ผมเติบโตขึ้นแล้ว แกร่งขึ้น ผมอาจจะพูดทุกอย่างที่ผมคิด แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สมควรพูด แต่ผมไม่มีคิดร้ายกับอะไรทั้งนั้น ผมจริงใจเสมอกับสิ่งที่พูด”
ครอว์ลีย์ ตัดสินใจกลับมาเล่นในอังกฤษอีกครั้ง โดยเลือกรับข้อเสนอจาก เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ที่คราวนี้เขาหวังไว้เยอะว่าตัวเองจะแจ้งเกิดได้เต็มตัวสักที โดย ฤดูกาลแรกของเขากับทีม เขาลงเล่นเป็นตัวหลักของทีมจนกระทั่งในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องพักการแข่งขันไปหลายเดือน ทีมก็มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม และ ไอเตอร์ การันก้า นายใหญ่ชาวสเปนคนใหม่เข้ามารับงานแทน ชีวิตของ ครอว์ลีย์ ก็พลิกผันอีกรอบ เพราะระบบการเล่นที่ต้องการ ไม่มี ครอว์ลีย์อยู่ในนั้นด้วย
จาก เอเรเดวิซี ลีก กลับมาสู่ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ และสุดท้ายชะตาเล่นตลกให้เขากลับมายังจุดที่เขาเคยบอกว่าไม่ต้องการเลยคือ “ลีก วัน” เมื่อเขาโดนปล่อยไปให้กับ ฮัลล์ ซิตี้ ยืมตัว และช่วยให้ ฮัลล์ ได้เลื่อนชั้นสู่ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ได้สำเร็จ แต่เมื่อจบฤดูกาลเขากลับมาสู่ เบอร์มิงแฮม อีกครั้ง ที่คราวนี้ การันก้า โดนไล่ออกไปแล้ว มาเป็น ลี โบว์เยอร์ รับงานแทน แต่สถานการณ์เขากลับแย่ลง เมื่อทีมตัดสินใจยกเลิกสัญญากับเขาและ นักเตะหลายคนเพื่อลดค่าใช้จ่ายของทีมลง
“ผมรู้ว่ามันยากมาก ไม่มีใครอยากเป็นแบบนี้หรอก แต่มันคือสิ่งที่เราคิดว่ามันดีที่สุดสำหรับสโมสร นั่นคือฟุตบอล โลกฟุตบอลที่คุณต้องยอมรับ และไม่ว่าชอบหรือไม่พอใจแค่ไหน มันก็เกิดขึ้นกับทุกคน บางครั้งคุณอยากอยู่ต่อ แต่สโมสรอยากให้คุณไป นั่นคือชีวิตนักเตะอาชีพ” โบว์เยอร์กล่าว
จากจุดเริ่มต้นเมื่อ 8 ปีก่อน ผ่านมาถึงวันนี้ ครอว์ลีย์ ยังคงรอคอยการลงเล่นใน พรีเมียร์ ลีก ครั้งแรกของตนเองอย่างมีความหวังต่อไป เขาอายุยังน้อยมาก เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่เขาได้รับ
“ผมเห็นนักเตะรุ่นราวคราวเดียวกับผมลงเล่นในพรีเมียร์ ลีก กันแล้ว และผมก็คิดว่าตัวเองทำไมพวกเขาถึงได้ลงเล่น แล้วผมล่ะ ผมคิดว่าผมดีพอลงเล่นกับ อาร์เซนอล ไหมตอนนี้ แน่นอน 100 % ผมมั่นใจ แต่ผมไม่เสียใจหรอกนะ ที่เลือกเส้นทางนี้ เพราะมันเป็นเส้นทางที่ผมเลือกเอง ทุกเส้นทางของแต่ละคนย่อมมีความแตกต่าง”
ใช่ มันแตกต่าง แค่เส้นทางชีวิตของเขา มันแตกต่าง และไม่เหมือนใครมากกว่าคนอื่นไปหน่อยก็เท่านั้นเอง