แจ็ค วิลเชียร์ (29 ปี ไร้สังกัด) ออกมาสัมภาษณ์ผ่านสื่ออย่าง ดิ แอตเลติก เกี่ยวกับเรื่องราวของเขาในวันนี้ ที่ ฟุตบอลลีก 2021-2022 เดินหน้าลงสนามกันแล้ว แต่สำหรับเขายังคงเป็น นักเตะ ไม่มีสังกัดลงสนาม แม้ว่าเขาจะมีสภาพร่างกายที่ดีก็ตาม
ว่ากันตามศักยภาพของ นักเตะ ไม่มีใครถกเถียงว่า วิลเชียร์ เป็นหนึ่งใน นักเตะ ที่มีความสามารถ พรสวรรค์ ที่พระเจ้าประทานมาให้ การันตีกับการติดทีมชาติอังกฤษมาแล้ว 34 เกม แต่พรสวรรค์ของเขามาพร้อมกับบททดสอบหัวใจนักสู้ เมื่อต้องเจออาการบาดเจ็บมากมาย ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จากเด็กหนุ่มวัย 19 ปี สู่ หนุ่มใหญ่วัย 29 ปี เขาผ่านอาการบาดเจ็บมากกว่า 30 ครั้ง และนั่นคือเหตุผลทำไมวันนี้ไม่มีใครเอา “แจ็ค วิลเชียร์”
บทความนี้ส่วนหนึ่งเป็นการถอดแปลสัมภาษณ์จาก ดิ แอตเลติก สื่อในประเทศอังกฤษ และผมเลือกนำมาประกอบการเขียนงานนี้ เพื่อให้งานมีความสมบูรณ์ ประกอบกับข้อมูลจากความทรงจำของผู้เขียนรวมกัน
วิลเชียร์ ลงเล่น ฟุตบอลครั้งล่าสุดคือในการลงเล่นกับ บอร์นมัธ สโมสรในระดับเดอะ แชมเปี้ยนชิพ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา และทุกวันนี้ เขาเริ่มต้นวันด้วยการลงซ้อมส่วนตัว และรอคอยว่าจะมีทีมไหนยื่นข้อเสนอเข้ามา ท่ามกลางสถานการณ์ของ โควิด-19 ที่แม้ในอังกฤษจะเริ่มบางเบาลงบ้าง และผู้คนจะเริ่มกลับมาใช้ชีวิตร่วมกับไวรัสนี้ต่อไป
“มันคงโกหกล่ะ ถ้าบอกว่าผมไม่กังวลกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แน่นอนผมกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก ผมออกจาก เวสต์แฮม ผมค่อนข้างเครียด และผมไม่อยากไม่มีสโมสรลงเล่น ผมย้ายไป บอร์นมัธ ได้ลงเล่น 17 เกม และผมคิดว่ามันก็มากพอที่จะแสดงให้เห็นว่า สภาพร่างกายของผมสมบูรณ์มาก แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่มีข้อเสนออะไรเข้ามา นั่นทำให้ผมกังวล”
เป้าหมายของ วิลเชียร์ ณ เวลานี้ คือการทำให้ร่างกายของตนเองพร้อมที่สุด และเรียกกำลัง และทักษะของตัวเองให้กลับมาอยู่ในจุดที่เคยทำได้
“การลงซ้อมกับทีมลงซ้อมทุกวัน มันเป็นเรื่องที่เหมือนงาน ทุกเช้าเมื่อคุณตื่นขึ้น เป้าหมายคือการขับรถไปสโมสรลงซ้อม และถ้าตอนนั้นอยู่ในช่วงที่ต้องเป็นตัวสำรอง ความคิดก็คือ เอาล่ะ วันนี้เราจะซ้อมให้เต็มที่ ซ้อมให้หนักเพื่อโอกาสในการกลับไปเป็นตัวจริง ผู้จัดการทีมจะได้เห็นศักยภาพของเรา แต่ ณ เวลานี้ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ผมตื่นขึ้นมา ตอนเช้า และคิดว่าวันนี้จะทำอะไร จะไปซ้อมที่ไหน ทุกอย่างผมต้องดูแลตนเอง การลงซ้อมอาจจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่การรักษาจิตใจให้พร้อมตลอด มันไม่ง่ายเลย เมื่อไม่มีการแข่งขันใดเกิดขึ้น รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับการอยู่กับตนเอง”
“ผมคุยกับภรรยาของผม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมจะซ้อมไปทำไม หรือผมควรไปมุ่งเน้นกับเรื่องอื่น เป็นโค้ชดีไหม หรือว่าไปเรียนด้านอื่น ภรรยาผมไม่เห็นด้วย และเชื่อมั่นว่าผมดีเกินกว่าจะหยุดเล่นฟุตบอลในตอนนี้ แต่ผมก็บอกกับภรรยาว่า ถ้าดีพอจริงตอนนี้ผมควรจะมีใครสักคนยื่นข้อเสนอเข้ามา เพื่อยืนโอกาสให้ผมได้ลอง ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วสิ ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน ผมบอกเอเยนต์ว่าผมไม่อยากอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เลย ผมอยากมีทีมลงเล่น ผมไม่ใช่เด็กแล้ว ผมไม่อยากเสียเวลาไปครึ่งฤดูกาลแบบปีก่อนอีกแล้ว”
เรื่องของ อาการบาดเจ็บ ของ วิลเชียร์ นั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว หากใครจำกันได้ วิลเชียร์ มีปัญหาเกี่ยวกับข้อเท้ามาตั้งแต่วัยรุ่น และสุดท้ายในฤดูกาล 2011-2012 เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ลงเล่นทั้งฤดูกาล หลังจากบาดเจ็บในเกมอุ่นเครื่อง เอมิเรตส์ คัพ ก่อนฤดูกาลใหม่จะเริ่มต้นขึ้น โดยก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน เขาเพิ่งจะเป็นสุดยอดนักเตะของ อาร์เซนอล ที่ดวลกับ ชาบี เอร์นานเดซ และ อันเดรส อิเนียสต้า ได้ในแบบที่เรียกว่าอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขามาก่อน และหลังจากนั้น มหากาพย์ของอาการบาดเจ็บของเขาก็เริ่มต้นขึ้น และมันก็ไม่ได้ว่าอยากจะจบกับเขาเสียด้วย ตรงข้ามกับ วิลเชียร์ ที่ชีวิตต้องติดกับ “อาการบาดเจ็บ” มาตลอด 10 ปี
ฤดูกาล 2016-2017 วิลเชียร์ ตัดสินใจย้ายออกจาก อาร์เซนอล ไปเล่นกับ บอร์นมัธ หนึ่งฤดูกาลในแบบยืมตัว เป็นหนึ่งฤดูกาลที่เขาเล่นได้ดีมาก ก่อนจะบาดเจ็บพัก 3-4 เดือนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเผยของเขาเองว่า อาร์แซน เวนเกอร์ จะไม่ต่อสัญญากับเขา
“ผมได้คุยกับ อาร์แซน เขาบอกว่าผมจะไม่ได้สัญญาใหม่ และผมสามารถย้ายทีมได้ แต่ผมรู้ล่ะว่าเขาเป็นคนแบบไหน และเขาประเมินผมไว้อย่างไรในการเป็น นักเตะ อาชีพ เวลานั้นผมเชื่อมั่นเสมอถ้าผมฟิตพร้อมลงสนาม ผมได้เล่นแน่นอน และเป็นตัวจริงด้วย”
2017-2018 กลายเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ วิลเชียร์ กับลงเล่นมากถึง 40 เกมต่อฤดูกาล และเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ทำงานกับ อาร์เซนอล การเข้ามาของ อูไน อเมรี่ นายใหญ่คนใหม่ กลายเป็นการอำลาทีมของ วิลเชียร์ ในเวลาเดียวกัน
“ผมถูก อูไน อเมรี่ เรียกเข้าไปคุยด้วย มีสัญญาใหม่อยู่บนโต๊ะ แต่เขาบอกว่า ผมจะไม่ได้เป็นตัวหลักในทีมของเขานะ ผมเดินออกจากห้องด้วยความโกรธ เพราะผมคิดว่าผมควรได้ลงเล่น ผมทำให้เห็นแล้วว่าฤดูกาลที่แล้ว ร่างกายผมพร้อมแค่ไหน มันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ด่วนตัดสินใจไปหน่อย แต่ผมก็บอกเอเยนต์ว่า ผมคิดว่าผต้องย้ายออกแล้วล่ะ ทั้งที่ความจริงผมควรใจเย็นกว่านี้ และให้เวลาตัวเองประเมินสถานการณ์รอบด้าน และมองไปที่กองกลางของทีม และกลับไปลุยต่อเพื่อโอกาส”
การย้ายออกไปแบบไม่มีค่าตัวไปร่วมงานกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เป็นสิ่งที่แฟนอาร์เซนอล ไม่อยากให้เกิดขึ้น แม้ว่า “ซูเปอร์แจ็ค” ของพวกเขาจะบาดเจ็บมากขนาดไหนก็ตาม แต่ชีวิตก็ต้องเดินหน้า เขาเลือกรับสัญญาสามปีกับทีมขุนค้อนในยุคของ มานูเอล เปเยกรินี่ ที่มอบความเชื่อมั่นให้กับเขาอย่างเต็มเปี่ยม แต่แล้วการย้ายทีมครั้งนี้ มันกลายเป็นหนังยาวของอาการบาดเจ็บเรื้อรัง เขาลงเล่นไปเพียง 4 เกม และกำลังไปได้สวย แต่ข้อเท้าของเขาก็ออกอาการอีกครั้ง และคราวนี้นักถึงขั้นผ่าตัดพักยาวอีกครั้ง แม้จะกลับมาได้ คราวนี้ “ขาหนีบ” ก็เป็นอาการบาดเจ็บอีกครั้งที่เขาต้องนอนโรงพยาบาลต่อไป
สองปีแรกของเขากับ เวสต์แฮม ลงเล่นไป 19 เกม ปีที่สาม…โดนยกเลิกสัญญา นั่นคือสิ่งที่เขาเจอจนกระทั่งย้ายไปบอร์นมัธ ตามด้วยการ “ว่างงาน”
“ผมไม่คิดเลยนะว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ ผมเพิ่ง 29 ปี ใครก็บอกว่า 28-29 ควรเป็นอายุที่นักกีฬาจะอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดของการเล่น แต่ผมไม่เป็นแบบนั้น ผมได้แค่คิดว่าตัวเองควรเป็นแบบนั้น ลงเล่นกับทีมชาติอังกฤษ และอยู่ในสโมสรระดับชั้นนำ”
“ลูกของผมสามคน โดยเฉพาะลูกคนโต เริ่มเข้าใจโลกมากขึ้นตามวัย เขาถามผมว่า อะไรคือ เมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ หรือทำไมผมไม่เล่นใน ลา ลีกา สเปนล่ะ และทำไมไม่มีสโมสรไหนต้องการผมเลย ผมจะตอบลูกผมอย่างไรดีล่ะ เขามีเพื่อนที่โรงเรียน ที่คอยมาถามเขาว่า ทำไมพ่อเอ็งไม่ไปทำงานล่ะ เขาดีไม่พอเหรอ ไม่ดีพอจะเป็นนักฟุตบอลเหรอ…มันยากนะที่จะตอบ”
ถึงวันนี้ 29 ปี กับการเล่นฟุตบอลอาชีพเข้าสู่ปีที่ 13 วิลเชียร์ ผู้ท้อถอย และมีความกังวลในสมอง และหัวใจของตนเอง ยังคงไม่ “ถอดใจ” แม้จะมีอาการท้อแท้ผ่านเข้ามาเสมอก็ตาม
“ผมลงเล่นฟุตบอลมาตลอด การย้ายทีมของผมต่อจากนี้ ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่มันคือเรื่องของการมีส่วนร่วมกับเกมการแข่งขัน ผมเป็นเด็กที่โตมาด้วยความรักในฟุตบอล มันเคยเกิดขึ้นกับผม และผมอยากได้ความรู้สึกแบบนั้นคืน ผมต้องสู้การความไม่แน่นอนของวงการฟุตบอล ผมอยากมีส่วนร่วมกับเกมการแข่งขัน ผมอยากลงเล่น อยากได้ยินเสียงเชียร์”
“ผมอยากลงเล่นฟุตบอลอีกครั้ง”