หลังจากก้าวเข้ามาสู่ อาร์เซนอล ด้วยหุ้นก้อนแรกของ สแตน โครเอนเก้ และความผิดหวังของ เดวิด ดีน ที่มองว่า โครเอนเก้ คือคนที่จะเข้ามาฮุบสโมสร แต่ก็ไม่สามารถที่จะยับยั้งเอาไว้ได้ แถมยังไม่สามารถโน้มน้าวใจ ผู้ถือหุ้นรายอื่น เชื่อในตัวของเขาได้ จนสุดท้ายเขาโดนปลดออกจากตำแหน่งรองประธานสโมสร อาร์เซนอล ด้วยเหตุผลที่ว่า “เกิดจากความเห็นแตกต่างที่ไม่เข้ากันระหว่าง เดวิด ดีน และ บอร์ดบริหารคนอื่น”
การออกจากสโมสร อาร์เซนอล ของ เดวิด ดีน ส่งผลกระทบรุนแรงมากกับ อาร์แซน เวนเกอร์ พวกเขาสองคนรู้จักกันมาอย่างยาวนาน ดีน เป็นคนพา เวนเกอร์ มายัง อาร์เซนอล ด้วยความเชื่อมั่นในตัวของโค้ชชาวฝรั่งเศส เป็นอย่างยิ่งว่าจะพา อาร์เซนอล ประสบความสำเร็จ และมันก็เป็นเช่นนั้น ยืนยันด้วยความสำเร็จที่หลั่งไหลเข้ามามากมาย
หาก แพท ไรซ์ คือ มือขวาคนสำคัญของ เวนเกอร์ ในสนามแข่งขัน เดวิด ดีน ก็คือ “คู่คิด” นอกสนามของเขา เช่นเดียวกับการดึงตัว นักเตะ ที่หลายต่อหลายครั้ง ดีน เป็นคนเดินเรื่องจัดการให้ทั้งหมด อย่างเช่นดีลอันลือลั่นอย่างการนำ โซล แคมป์เบลล์ มายังอาร์เซนอล ก็เกิดข้อตกลงกันขึ้นในบ้านของ เดวิด ดีน
“ในคืนที่ผมต้องออกจากตำแหน่งในสโมสรอาร์เซนอล อาร์แซน มาถามผมว่า คิดอย่างไรถ้าเขาจะลาออกจากทีมไปด้วย ผมบอกกับเขาว่า อย่าเลย อาร์แซน คุณต้องอยู่ต่อไป เพราะคุณเหมาะสมกับ อาร์เซนอล และ อาร์เซนอล ก็เหมาะกับคุณแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือในฐานะของแฟนบอล อาร์เซนอล ผมไม่อยากให้คุณออกจากทีม อย่างที่ผมเคยบอกสื่อหลายครั้ง อาร์แซน มีทางเลือกในการย้ายออกจากทีม เรอัล มาดริด มาติดต่อชวนเขาไปร่วมงานด้วยปีละครั้ง ฟลอเรนติโน่ เปเรซ มาถามผมเสมอว่า ขอผมคุยกับ ผู้จัดการทีมคุณหน่อยได้ไหม ผมตอบกลับเสมอว่า ไม่ คุณคงคุยกับเขาไม่ได้หรอก ล้มเลิกความตั้งใจได้เลย”
นอกจากนี้การสร้างสนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ดีน คือกลุ่มคนแรกที่ทราบเรื่องนี้ และพัฒนาความคิดร่วมกันในการต่อยอดจนกลายเป็นสนามใหม่ บ้านใหม่ของอาร์เซนอล ที่ เวนเกอร์ ยอมรับว่า การจากไปของ ดีน ส่งผลกับเขาเยอะมาก และทั้งหมดของการเปลี่ยนแปลงก็เกิดจากการเข้ามาของ นายทุนต่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงของโลกทุนนิยมในวงการฟุตบอล
“ผมรักในการทำงานร่วมกับ เดวิด ดีน มาก แต่สำหรับตำแหน่งงานของผมในสโมสร รวมถึงความสัมพันธ์ของผมกับ บอร์ดบริหาร ยังคงยอดเยี่ยม และเราจะพยายามที่จะทำงานร่วมกัน บนความเข้าใจที่ตรงกัน”
มกราคม 2009 อิวาน กาซิดิส ผู้บริหารหนุ่มชาวอเมริกัน เข้ามารับงานที่ อาร์เซนอล เพื่อมาแทนที่การออกจากตำแหน่งของ เดวิด ดีน
หลังการออกจากตำแหน่งของ เดวิด ดีน สแตน โครเอนเก้ เดินหน้ามองถึงก้าวต่อไปกับการมองหาการขอซื้อหุ้นส่วนอื่น จากผู้ถือหุ้นใหญ่ หลายรายของสโมสร อาร์เซนอล คนแรกที่เขาได้มีโอกาสซื้อหุ้นคือ แดนนี่ ฟิตซ์แมน
ฟิตซ์แมน ผู้ซึ่งอีกด้านหนึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการค้าเพชรมาก่อน โดยมีการระบุว่า ฟิตซ์แมน มีหุ้นอยู่กับ อาร์เซนอล จากการที่ เดวิด ดีน ขายให้เขาจำนวน 8 % ในปี 1991 และ ฟิตซ์แมน ก็สะสมหุ้นเรื่อยมา ในปี 2007 หลังจากเขาเป็นหนึ่งในคนสำคัญที่ช่วยให้ อาร์เซนอล ย้ายสนามมาจาก ไฮบิวรี่ สู่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ได้สำเร็จ เขาก็เริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเข้ามารบกวน
โครเอเก้ เดินเรื่องเจรจากับ ฟิตซ์แมน ซึ่งในรายละเอียดไม่มีใครรู้ว่า โครเอนเก้ พูดคุยอย่างไรบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว ฟิตซ์แมน ก็ขายหุ้นรอบแรกจากทั้งหมด 4 รอบ รวมแล้วประมาณ 16 % ให้กับ โครเอนเก้ ภายใต้ชื่อ KSE ในปี 2007 และการขายในครั้งแรกนี้เองที่ทำให้ ฟิตซ์แมน มีหุ้นไม่ถึงจำนวนตามกฎที่จะสามารถทำการโต้แย้งหรือถอดถอนอะไรก็ตามแต่ในส่วนที่เกี่ยวกับสโมสรได้
สัญญาณความครอบงำสโมสรของ โครเอนเก้ เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ทุกอย่างก็ยังคง “หยุดไม่ได้” แม้กระทั่ง ปีเตอร์ ฮิลล์-วู้ด ประธานสโมสร ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน
“เรียกผมว่า พวกหัวโบราณก็ได้ แต่ผมเชื่อว่าเราไม่จำเป็นต้องมีเงินของ โครเอนเก้ เราไม่ต้องการเขา” ฮิลล์-วู้ด กล่าว
อย่างไรก็ตาม ฟิตซ์แมน มีความเห็นที่แตกต่างออกไป เขายังคงขายหุ้นของตนเองออกไปให้กับโครเอนเก้ก่อนที่สุดท้ายเขาจะขายทั้งหมดที่มีให้กับ โครเอนเก้ ไปในปี 2011
11 เมษายน 2011 แดนนี่ ฟิตซ์แมน ขายหุ้นทั้งหมดของตนเองให้กับ โครเอนเก้
13 เมษายน 2011 แดนนี่ ฟิตซ์แมน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในลำคอ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาขายหุ้นทั้งหมด ท่ามกลางความเสียใจของทุกคน เพราะนี่คือหนึ่งในบุคคลที่อยู่กับสโมสรมากว่า 20 ปี
ขณะที่ เดวิด ดีน ซึ่งแม้จะออกจากสโมสร แต่ยังคงมีหุ้นอยู่ในมือประมาณ 14.6 % และเขาเลือกเดินหน้าต่อ กับการก่อตั้งบริษัทลงทุนชื่อว่า “Red & White Holding Ltd.” และเขาตั้งตนเองเป็นประธานบริษัทแห่งนี้ ร่วมกับ มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย นามว่า อลิเชร์ อุสมานอฟ รวมถึง ฟาฮัด โมชิริ ผู้ซึ่งทุกวันนี้เป็นเจ้าของสโมสร เอฟเวอร์ตัน ก็เริ่มต้นขึ้น ก่อนที่จะจบลงด้วยการที่ ดีน ปล่อยหุ้นทั้งหมดของเขา แลกกับเงินประมาณ 75 ล้านปอนด์ ให้กับ อุสมานอฟ พร้อมกับเดินหน้าควานหาหุ้นส่วนอื่นที่อยู่ในตลาดหุ้น จนทำให้พวกเขามีหุ้น 21 % ด้วยกัน
อย่างไรก็ตามความวุ่นวายยังไม่จบแค่นั้น หลังจาก “Red & White” มีหุ้นในสโมสรเรียบร้อยแล้ว อาร์เซนอล บอร์ดบริหารก็ยังคงมีความไม่สบายใจเกี่ยวกับการเข้ามาของ ดีน ที่จะมาเทคโอเวอร์สโมสร และมีการตกลงเกี่ยวกับการ “ล๊อคดาวน์” ร่วมกันในการจะไม่ขายหุ้นที่ถืออยู่ของตนเองให้กับบุคคลภายนอก ยกเว้นคนในครอบครัวเดียวกันเท่านั้น และมีการขยายเวลาในกฎนี้หลายรอบจนสุดท้าย มีการตกลงว่า หุ้นจะขายได้ แต่คนที่เป็นผู้ถือหุ้นเดิมจะเป็น “ทางเลือกแรก” ที่ได้สิทธิ์ซื้อก่อน โดยมีกำหนดไว้จนถึงเดือนตุลาคม 2012
เดือน กันยายน 2008 เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบอร์ดบริหาร และเล็งจะเดินหน้าต่อในการขอซื้อหุ้นรายต่อไป นั่นคือดีลของ หุ้น ตระกูล เบรสเวลล์-สมิธ ที่เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในการครองอำนาจของ โครเอนเก้ ในเวลาต่อมา
โปรดติดตามตอนต่อไป