ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก 2021-2022 เข้าสู่สัปดาห์ที่ 11 และสัปดาห์นี้กลายเป็นการทำงานสัปดาห์สุดท้ายของ ดาเนียล ฟาร์เก้ (45 ปี) ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน ของ นอริช ซิตี้ และเป็นการสิ้นสุด 4 ปี กับการทำงานกับสโมสรแห่งนี้
ฟาร์เก้ ย้ายมาจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนต์ ทีมสำรอง เพื่อมารับงานคุมทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกของเขากับ นอริช ซิตี้ ในปี 2017 ซึ่งเวลานั้นทีมอยู่ในระดับ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ และใช้เวลาสองฤดูกาลในการพาทีมเลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ ลีก ก่อนที่จะตกชั้นไปอีกหนึ่งครั้ง และล่าสุดในฤดูกาลนี้ พวกเขาลงเล่นใน พรีเมียร์ ลีก โดยเกมสุดท้ายของเขากับทีมคือเกมที่เอาชนะ เบรนท์ฟอร์ด ทีมน้องใหม่ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาพร้อมกัน 2-1 เป็นชัยชนะนัดแรกของทีม หลังจากควานหามาตลอด 11 เกม (ชนะ 1 เสมอ 2 แพ้ 8) อยู่อันดับสุดท้ายของตาราง แต่เป็นอันดับสุดท้ายที่ชนะได้แล้วในฤดูกาลนี้ ผิดกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่อยู่อันดับ 19 ยังไม่ชนะใครเลยในปีนี้ แต่เสมอมากถึง 5 เกม และแพ้ไป 6 เกมด้วยกัน
โดยมีรายงานว่าที่ “เชื่อว่า” ฟาร์เก้ ทราบถึงชะตากรรมของตนเองล่วงหน้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนจะลงเล่นกับ เบรนท์ฟอร์ด หลังจากการประชุมของ บอร์ดบริหารทีมออกมาเรียบร้อย ก็แจ้งกับ ฟาร์เก้ โดยที่พวกเขามีรายชื่อคนที่จะเข้ามารับงานแทนที่ไว้แล้ว แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อออกมา
ในแง่ของทีมถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้องก็ได้ เพราะ นอริช ก่อนเกมนี้มีแค่ 2 คะแนนจาก 10 เกมแรก เท่ากับผ่านมาแล้ว 25 % ของฤดูกาลนี้ หากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างอาจจะสายเกินไป แต่การตัดสินใจดันเกิดขึ้นวันเดียวกับที่พวกเขาชนะได้เป็นครั้งแรกในลีกพอดี มันก็เลยให้ความรู้สึกที่ประหลาดใจพอสมควรกับแฟนบอล อย่างไรก็ตาม นับจากนี้ 14 วัน จะเป็นช่วงเวลาของเกมทีมชาติ ซึ่งสโมสรจะมีเวลาเจรจากับคนใหม่ ที่จะต้องเข้ามารับงานใหญ่ในการพาทีมให้รอดตกชั้นให้จงได้ต่อไป ยิ่งได้ตัวคนใหม่มาเร็ว ก็ยิ่งเริ่มงานได้เร็ว โอกาสลุ้นรอดตกชั้นก็อาจจะมีมากขึ้น
ขณะที่ ฟาร์เก้ ออกมากล่าวหลังเกมแบบมืออาชีพ เขาชื่นชมลูกทีมทุกคน กับทีมสปิริตที่ออกมา ดีใจกับลูกทีม และแฟนบอลที่ในที่สุด พวกเขาก็ได้สามคะแนนเสียที ก่อนที่อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ประกาศการโดนปลดออกจากตำแหน่งของเขาจะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยที่มีทีมงานของเขาอีกสามคน จะออกจากงานไปพร้อมกับ ฟาร์เก้ ด้วยเช่นกัน
นับเป็นผู้จัดการทีมรายที่ 4 ต่อจาก ซิสโก้ มูนญอซ (วัตฟอร์ต), สตีฟ บรู๊ซ (นิวคาสเซิ่ล) และ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ (สเปอร์ส) และคงจะไม่จบเพียงเท่านี้แน่ สำหรับ “การตกงาน” ของเหล่าผู้จัดการทีม พรีเมียร์ ลีก โดยจำนวนนี้เทียบเท่ากับการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมระหว่างฤดูกาลในปีที่แล้ว ซึ่ง 4 คนในปีที่แล้วประกอบไปด้วย (สลาเวน บิลิช, คริส ไวล์เดอร์, แฟรงค์ แลมพาร์ต และ โชเซ่ มูรินโญ่)
นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ตัดขาดกับ สตีฟ บรู๊ซ ไปแล้ว แต่ก็ยังหาคนใหม่มาแทนไม่ได้ แต่ดูแล้ว เอ็ดดี้ ฮาว น่าจะเป็นทางเลือกสำหรับพวกเขา หลังจาก “สัมภาษณ์ทั้งยุโรป จบที่คนอังกฤษ”ของพวกเขาน่าจะสิ้นสุดแล้ว เมื่อมีภาพของ ฮาว นั่งชมเกม ไบร์ทตัน – นิวคาสเซิ่ล กับผู้บริหารของ นิวคาสเซิ่ล เมื่อวานนี้
ใครจะเป็นรายต่อไป….โซลชา ? ไม่ล่ะ เราจะไม่ขอพูดถึงเขาสักครั้งแล้วกัน แต่จะขอพูดถึงอีกหนึ่งคนที่เก้าอี้ร้อนพอ ๆ กับหลวงพ่อโอเล่ (โดนรัวคาบ้าน 5 นัดยังไม่ตาย ตามด้วยอีกสองดอกจากเรือใบก็ยังเหนียว) นั่นคือผู้จัดการทีมของ แอสตัน วิลล่า
ดีน สมิธ (50 ปี สัญญาถึงกลางปี 2023) กลายเป็นประเด็นทันที หลังจาก แอสตัน วิลล่า ผลงานย่ำแย่อย่างหนักแพ้มา 5 เกมติดต่อกันในลีก เมื่อรวมกับการตกรอบ คาราบาว คัพ อีกหนึ่งเกม เท่ากับ พวกเขาไม่เจอชัยชนะ 6 เกมติดต่อกันเข้าไปแล้ว แน่นอนมันส่งผลต่ออันดับคะแนนโดยตรง พวกเขาอันดับร่วงจนอยู่เหนือโซนตกชั้น 2 คะแนนเท่านั้น
เกมรับที่มีปัญหา กับเกมรุกที่เฉียบขาดดังเดิม วิลล่า ของ ดีน สมิธ ยังหาจุดเปลี่ยนของตนเองไม่เจอ แม้ตัวเขาจะยืนยันว่า ไม่กดดันอะไร เพราะทุกอย่างไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขา และมีนักเตะหลายคนที่เป็นตัวหลักบาดเจ็บ และทีมเลือกใช้นักเตะเยาวชนขึ้นมาทดแทน
“ผมไม่มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับการอยู่ในตำแหน่ง หรือเปลี่ยนแปลง ผมไม่ได้เป็นคนควบคุมเรื่องนี้ ผมทำงานแบบวันต่อวัน มุ่งมั่นกับงานที่มี และผมจะทำมันต่อไป ผมเชื่อว่าทีมจะกลับมาได้แน่ มันต้องใช้เวลา เพราะผมเชื่อมั่นกับทีมซึ่งมีศักยภาพมากพอในการกลับมาได้ แต่แน่นอนการแพ้ต่อเนื่อง 5 เกม น่าผิดหวังมาก แต่ถ้านักเตะหลักกลับมาเราจะดีขึ้นแน่”
อย่างไรก็ตาม นาสเซอร์ ซาฟาริส และ เวส อีเดนส์ สองผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของสโมสร อาจจะไม่ได้มองแบบเดียวกับ สมิธ ก็เป็นได้ กับการลงทุนไปประมาณ 300 ล้านปอนด์ นับตั้งแต่เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร ต่อจาก โทนี่ เซีย ในช่วงกลางฤดูกาล 2017-2018 เป็นต้นมา และใช้เวลาหนึ่งปีพาทีมเลื่อนชั้นมาเล่นใน พรีเมียร์ ลีก ซึ่ง สมิธ ก็คือคนที่พาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาด้วยกัน
แอสตัน วิลล่า ผลงานในพรีเมียร์ ลีก จบด้วยการเอาตัวรอดได้แบบหวุดหวิดในปีแรก กลางตารางในฤดูกาลที่สอง และเวลานี้กลับมาอยู่ในสถานการณ์เดิมแบบในปีแรกที่ต้องดิ้นรนอีกครั้ง ซึ่งสวนทางกับการเสริมทีมที่แม้ในปีนี้ จะเสีย แจ็ค กรีลิช คนสำคัญของทีมด้วยค่าตัว 100 ล้านปอนด์ ซึ่งมันเป็นการทำธุรกิจที่คุ้มค่า และนำเงินตรงนั้นมาเล่นแร่แปรธาตุเป็น เอมิเลียโน่ บูเอนเดีย, เลออน ไบลีย์ รวมถึง แดนนี่ อิงคส์ แน่นอน ในฐานะนักลงทุน ไม่มีใครมองว่า แอสตัน วิลล่า จะต้องกลับมาลุ้นเอาตัวรอดอีกแล้ว พวกเขามองถึงอันดับกลางตารางแบบไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อย และถ้าจะดีกว่านั้น อาจจะได้ลุ้นไปเล่นฟุตบอลยุโรปเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นข่าวหาคนใหม่มาแทนคนเดิมจึงเกิดขึ้น รายงานจาก เบอร์มิงแฮม ไลฟ์ ระบุว่า สองผู้ถือหุ้นใหญ่ มีชื่อของ แคสเปอร์ ยูลมันด์ (49 ปี สัญญาถึงกลางปี 2024) ผู้จัดการทีมชาวเดนมาร์ก กลายเป็นชื่อที่มีข่าวว่า มองว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับแอสตัน วิลล่า กับโปรไฟล์การคุมทีมระดับทีมชาติเดนมาร์ก ชุดยูโร 2020 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม โค้ชหนุ่มเดนมาร์ก คนนี้ ไม่ใช่ทางเลือกเดียวอย่างแน่นอน อีกทั้งเขามีประสบการณ์คุมทีมนอกลีก เดนมาร์ก เพียงครั้งเดียวกับการคุม ไมนซ์ 05 ใน บุนเดสลีกา เยอรมัน ซึ่งจบลงเพียง 7 เดือนเท่านั้น ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องคิดให้หนักหาก วิลล่า คิดจะเปลี่ยนแปลงนายใหญ่
สถานการณ์ของ ดีน สมิธ ยังถือว่าไม่หนักเท่ากับ ฟาร์เก้ ด้วยความที่ผลงานเก่าก่อนยังคงพอจะคุ้มภัยให้ตัวเองได้บ้าง และบอร์ดบริหารน่าจะยังคงให้ความเชื่อมั่นกับเขาต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง โดยหลังเบรกทีมชาติกลับมา พวกเขามีเกมกับ ไบร์ทตัน และ คริสตัล พาเลซ รออยู่ หนึ่งเกมเหน้า หนึ่งเกมเยือน ซึ่งหากผลงานยังไม่ดีอีก งานนี้ทุกอย่างอาจจบก็เป็นไปได้
ฟุตบอลยุคนี้ ตำแหน่งผู้จัดการทีม ขึ้นกับผลงาน และความอดทนของ เจ้าของสโมสรเป็นสำคัญ ตราบใดที่เจ้าของยังคงมองว่า “ใช่” ก็ยังไม่คง “ไม่” กับการเปลี่ยนแปลง และนั่นหมายถึง โอกาสยังคงมีอยู่ ให้ต้องสู้ และดิ้นรนต่อไป เพียงแต่อย่าให้มัน “สายเกินไป” อย่างที่ ฟาร์เก้ ได้รับก็แล้วกัน เพราะแบบนั้นมันเจ็บปวดใจเหลือเกิน